ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองได้ ... ทัศนคติการเลือกงานมีความสำคัญอย่างไร ?

 เราควรจะเลือกทำงานด้วยทัศนคติอย่างไร ที่จะส่งผลให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

หลวงพ่อเคยเล่าให้พวกเราบางกลุ่มฟังแล้ว วันนี้จะขอฉายซ้ำ เมื่อสร้างวัดได้ประมาณ  7 ปี 8 ปี ยังไม่ถึง 10 พรรษา ตอนนั้นหลวงพ่อมีคนงานปลูกต้นไม้อยู่ประมาณ 30 คน วันหนึ่งประมาณบ่าย 2 โมง ขณะที่เด็กคนงานปลูกต้นไม้กันอยู่ มีทั้งเด็กผู้หญิง ผู้ชาย พวกเขาทำงานไปก็คุยกันไป เสียงอาจจะดังรบกวนเข้าไปถึงกุฏิคุณยาย ท่านเลยเดินออกมา


คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง 
นำลูกศิษย์นั่งสมาธิ

มาถึงท่านก็ถามเด็ก ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ด้วย ท่านถามด้วยคำถามอย่างนี้ “ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งปลูกต้นไม้ เอ็งคิดอะไรกันบ้างไหม”


ท่านไล่ถามทีละคน หลวงพ่อยืนฟังอยู่ ยังจำได้ คนที่ตอบทุกคน แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม


กลุ่มที่ 1 เป็นพวกเด็กใหม่ บอกว่าเวลาปลูกต้นไม้ไม่ได้คิดอะไร ได้แต่นึกอย่างเดียว  ‘เจ้าประคุณ ต้นไม้ต้นกล้าอย่าตายนะ เดี๋ยวถูกดุ เดี๋ยวหลวงพี่เด็จจะดุเอา’ นี่พวกหนึ่ง เป็นคนงานใหม่ ตั้งใจทำงาน แต่ทำไปก็กลัวไป กลัวโดนดุ กลัวจะต้องโดนออกจากงาน


กลุ่มที่ 2 ทำงานนี้มาแล้วเป็นปี เรื่องกลัวต้นไม้จะตายไม่ต้องเป็นห่วง เขานึกว่า  ‘เจ้าประคุณ โตเร็ว ๆ เถอะ จะได้ไม่ต้องมารดน้ำ อยากจะให้มันโตเร็ว ๆ จะได้ทำงานใต้ร่มไม้ เย็นดี นกกามาอยู่ก็เป็นบรรยากาศธรรมชาติดี’ นี่คือพวกที่ 2 สำหรับพวกที่ 2 นี้  มีทั้งอายุมากและอายุน้อย แต่เขาคิดได้แค่นี้


pixabay.com

กลุ่มที่ 3 ชุดนี้เป็นผู้ใหญ่ เขาบอกว่า ‘อยากให้มันโตเร็ว ๆ ใครอยากฟังเทศน์บนศาลา ก็เอา จะมาฟังเทศน์โคนไม้ก็เอา สบายดีออก เหยียดแข้งเหยียดขาก็ได้ นั่งสมาธิ ก็ดี บรรยากาศก็ให้ พวกเด็กเล็กจะได้ลงมาอยู่กับแม่กับพ่อ ไม่ไปกวนใคร ถึงเวลาอยากนั่งก็นั่ง ถึงเวลาอยากจะเล่นบ้างก็ตามเรื่อง อย่างไรเสียก็ได้อะไรบ้างแหละ ขณะที่เล่นก็ฟังเทศน์ไปด้วย แม่นั่งหลับตา เด็กก็หลับตา แม่นั่งชั่วโมงหนึ่ง เด็กอาจจะหลับตา 5 นาที ก็ช่างเถอะ เป็นการฝึกเด็ก’


กลุ่มที่ 4 หัวหน้างาน เป็นผู้ใหญ่ มีอยู่ 2 คน คุณยายถามเขาก็ตอบว่า ‘ไม่คิดอะไรมากหรอก คิดจะทำแลนด์สเคป (landscape) คือตกแต่งสถานที่ให้ดี ให้มีบรรยากาศทั้งร่ม ทั้งครึ้ม ทั้งสวยงาม’ แล้วเขาพูดมาประโยคหนึ่ง ‘ใครมานั่งให้เข้าถึงพระธรรมกายง่าย ๆ แล้วให้บรรลุธรรมเหมือนอย่างองค์ที่นั่งใต้โคนโพธิ์เมื่อ 2,500 ปีนั่น’ โอ้โฮ เขาคิดถึงกับให้คนมานั่งสมาธิแล้วตรัสรู้เลย


พอหัวหน้างานคนนี้ตอบเท่านั้น คุณยายบอก ‘เออ มันต้องคิดอย่างนี้สิ ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งฟังพี่เขา พี่เขาคิดอย่างนี้ เอ็งเอาแต่คุยกัน แล้วอย่างนี้บุญจะเกิดไหม’


คุณยายท่านใช้คำนี้ ‘แล้วอย่างนี้บุญจะเกิดไหม อย่างพี่เขา เขาได้งาน แล้วก็ได้บุญด้วย เอ็งเอาแต่คุยกัน บุญไม่เกิดนะ’ แล้วคุณยายก็กลับไป


ตอนนั้นหลวงพ่อก็ยังตามอะไรไม่ทันนักหรอก ตกกลางคืนก็มาคิด ‘เออ พวกเด็กใหม่ปลูกต้นไม้ คิดว่าขอให้ต้นไม้อย่าตายเลย แล้วก็ตั้งใจปลูก แล้วได้อะไรขึ้นมาบ้าง เมื่อตั้งใจปลูกก็ได้งาน แล้วก็ได้เงิน แต่ว่าไม่ได้อารมณ์ที่สบายใจ เพราะยังกลัวโดนดุอยู่ ไม่ได้อารมณ์ดีๆ และไม่ได้บุญ เพราะไม่ได้นึกถึงบุญ


พวกที่ 2 ทำงานไปคิดไป ให้ต้นไม้โตเร็ว ๆ เถอะ อีกหน่อยจะได้ทำงานใต้ร่มไม้ จะได้เย็น ๆ งานก็ได้เยอะ นกกาก็ได้อาศัย พวกนี้ทำงานได้งานและอารมณ์ในการทำงานก็ดีด้วย เขาได้เงิน ได้อารมณ์ที่ดี แต่ไม่ได้บุญ เพราะไม่ได้นึกถึงบุญ


พวกที่ 3 คิดว่า ต้นไม้ที่ปลูกให้โตเร็ว ๆ ใครมาฟังเทศน์ก็สบาย นั่งสมาธิก็สบาย พวกนี้    ได้งาน ได้เงิน ได้อารมณ์ แล้วก็ได้บุญ (เล็กน้อย)


พวกที่ 4 ได้งาน ได้เงิน แล้วก็ได้บุญเต็ม ๆ เพราะเข้าใจเรื่องบุญ เมื่อคิดถึงเป้าหมายของงานจึงคิดได้ลึกซึ้ง เขาจึงได้บุญ ส่วนคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจเรื่องบุญ เลยได้แต่งาน เหนื่อยเท่ากัน งานก็ได้เท่ากัน แต่ได้บุญไม่เท่ากัน

 pixabay.com

ย้อนมาถึงในบ้านของเรา ถ้าให้คนรับใช้ทำงานเช็ดห้องพระ ถูห้องพระ เขาจะคิดเหมือนเราหรือไม่? คนรับใช้มาถูห้องพระ เช็ดห้องพระคิดอย่างไร เขาก็คิดทำงานให้มันเสร็จ คิดให้มันสะอาด แล้วจะเอาบุญมาจากตรงไหน


pixabay.com 

แต่ถ้าเราเช็ด เราถู เราคิดอย่างไร? เช็ดไปก็นึกไป ถ้าใครเคยบวช รูปอุปัชฌาย์ก็อยู่ที่ห้องนี้ รูปพ่อรูปแม่ก็อยู่ที่นี่ คิดถึงครูบาอาจารย์ คิดถึงหลวงพ่อ หลวงปู่ เลยไปกระทั่งคิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่ เมื่อไรหนอ เราจะเข้าถึงพระธรรมกายภายในสักที  เช็ดไปก็นึกไป ความคิดมันจะออกมาในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราเช็ด เราได้บุญ แต่ถ้าให้คนอื่นมาทำ เขาได้แค่ความสะอาด ได้แค่งาน ได้แค่เงิน


ในที่ทำงานก็เช่นกัน ยกตัวอย่างอาชีพครู เป็นครูบาอาจารย์สอนคน ถ้าคิดว่าเป็นหน้าที่ก็สอนอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคิดต่อไปอีกว่าจะเสกให้เป็นทายาทของศาสนา ทายาทในการรักษามรดกคือประเทศชาตินี้ เมื่อคิดไม่เหมือนกัน ก็ได้บุญได้บาปไม่เหมือนกัน


บางคนสอนลูกศิษย์ไปก็ได้บุญไป อบรมนิสัยไปด้วย บางคนคิดเพียงสอนให้จบไปแต่ละชั่วโมง หรือบางคนตั้งใจทุ่มเทจริง ๆ แต่หวังให้ไปประกอบอาชีพได้ดี ก็ได้แค่ความปรารถนาดี บุญอาจจะได้มาส่วนหนึ่ง ไม่เหมือนครูที่ตั้งใจจะให้เป็นคนดี ให้ศิษย์รู้ศีลรู้ธรรม เขาจะได้ไปอบรมรุ่นหลัง ๆ ต่อไปได้ แค่ความคิดที่ต่างกัน แต่เหนื่อยเท่ากัน ผลงานที่ออกมาก็ไม่เท่ากัน


มีคน 2 คน แม่ลูกอ่อนทั้งคู่ คนหนึ่งจน เป็นลูกจ้างเขา ลูกหิวนมก็ร้องจ๊าก ๆ แม่จะทิ้งงานมา ก็กลัวนายจ้างเขาจะว่าเอา ก็ต้องทำงานให้เขาจนเสร็จ กว่าจะวางงานมาเอานมให้ลูก ลูกก็ร้องอยู่นานจนตัวงอ พออุ้มลูกได้ ให้ลูกกินนม แม้ว่าลูกจะร้องจนตัวงอ แต่ว่ามือของแม่ที่ป้อนนมลูกด้วยความทะนุถนอม ลูกก็สัมผัสได้ถึงความรัก ความปรารถนาดีของแม่


ต่างกับอีกมือหนึ่งของแม่ที่ติดไพ่ ลูกร้องหิวจะกินนม แม่ไม่ยอมวางมือจากวงไพ่ รอจนเสียไพ่หรือได้แล้วเท่านั้น ถึงจะรีบไปจับลูกมาให้นม ความคิดของแม่ที่ติดไพ่คือให้ลูกรีบกินเข้าไป เดี๋ยวแม่จะรีบไปเล่นต่อ


เด็กทั้งคู่กินนมไม่ตรงเวลา แต่ได้กินแล้วอิ่มเหมือนกัน เด็กคู่นี้มีนิสัยติดตัวเหมือนกันคือเจ้าโทสะ แต่มีรายละเอียดต่างกัน

 pixabay.com

คนแรกถึงจะเจ้าโทสะ จะอาละวาดอย่างไร แต่รักแม่และรู้ว่าแม่รักและปรารถนาดีต่อเขา เมื่อเขาทำเรื่องร้ายกาจอะไร แม่ก็ยังหยุดลูกได้ ห้ามลูกได้ เพราะมือที่ห่วงลูก ลูกสัมผัสได้ตั้งแต่เล็กว่าแม่รักเขา เพราะฉะนั้นแม่จึงเตือนจึงว่าเขาได้

 pixabay.com

แตกต่างจากคนที่สองที่มีแม่เล่นไพ่ แม่ไม่สามารถหยุดหรือห้ามลูกได้ ระวังแต่ว่าลูก จะด่าสวนกลับมา เพราะเขาสัมผัสได้มาตั้งแต่เล็ก ๆ ว่าแม่ไม่ได้รักเขา แม่รักไพ่มากกว่าลูก

ขอฝากไว้ให้คิด แล้ววันหนึ่งเราจะพบด้วยตัวเองว่า ทัศนคติในการทำงาน ขณะทำงานนั้น ๆ มีอิทธิพลล้นเหลือต่อชีวิตและผลงานของเรา ทัศนคติหรือมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้องชัดเจน ความเข้าใจถูกต่อโลกและชีวิต เราจะหมั่นฝึกฝนตนเองได้สม่ำเสมอจากการฝึกตัวภายใน 5 ห้องประจำชีวิต แล้วทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน ต่อการสร้างคน ต่อการสร้างบุญ  จะทำให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองตามมา



พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว

วารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกรกฏาคม ปี 2556


ท้ายที่สุดนี้พอสรุปได้ว่า การงานใด ๆ ไม่มีคำว่าเล็กหรือใหญ่ไป เพราะทุกงานที่ทำมีผลโดยตรงต่อชีวิตของเราและส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเสมอ ทัศนคติที่ดีและถูกต้องในการทำงานจะนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต

ดังพุทธศาสนสุภาษิต ความว่า


ปญฺญาชีวีชีวิตมาหุ  เสฏฺฐํ.

ปราชญ์กล่าวชีวิตของผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่า ประเสริฐสุด.


ที่มา : สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (สํ. ส. ๑๕/๕๘, ๓๑๕)


หลวงพ่อ * หลวงพ่อทัตตชีโว

คุณยาย * คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (ครูผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวัดพระธรรมกาย)


กราบขอบพระคุณที่มาความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว

คลิปวีดีโอ 5 ห้องชีวิต

ภาพประกอบpixabay.com


วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ยุคโซเชียล...วางตนและใจอย่างไรให้เป็นสุข ?

สังคมมนุษย์ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กในทุกวันนี้ มีผู้รู้แนะนำแนวทางการใช้ชีวิตหลายรูปแบบมาก จนบางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีอยากทราบว่า ในพระพุทธศาสนามีคำแนะนำแนวทางการใช้ชีวิตที่เป็นมาตรฐานบ้างหรือไม่ว่าควรเป็นอย่างไร ?

ก่อนจะตอบคำถามนี้ ให้เรามาใคร่ครวญดูให้ดีก่อนว่า ชีวิตคืออะไร ?





1.ชีวิต คือ การเป็นอยู่ในอัตภาพนี้ในโลกนี้ ในระยะเวลาหนึ่ง ปัจจุบันนี้ใครจะมีชีวิตอยู่เกินร้อยปีก็หาได้ยาก แทบจะนับคนได้สุดท้ายแล้วชีวิตก็ดับไป และแล้วก็ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพภูมิใหม่ มีชีวิตใหม่กันอีก

 2.ชีวิตประกอบไปด้วยทุกข์ ซึ่งเราเคยทำความเข้าใจกันมาแล้วว่า ทุกข์ในโลกนี้แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นชีวิตแรกของสัตวโลกที่กำจัดทุกข์ให้สิ้นไปหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

ทุกข์นำมาซึ่งความเดือดร้อน ความหิวกระหาย ความทุรนทุรายแก่ชีวิต เมื่อทุกชีวิตประกอบไปด้วยทุกข์ 4 การดำเนินชีวิตให้เป็นอยู่อย่างดีและสามารถพัฒนาได้ จึงเป็นไปเพื่อดับทุกข์หรือปราบทุกข์ 4 นั่นเอง

จากตรงนี้เราก็พอทราบกันแล้วว่า เรา จะดำเนินชีวิตไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ดังนั้นวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง จึงเป็นการประกอบการงานต่าง ๆ เพื่อปราบทุกข์ 4

ทุกข์ 4 ประกอบด้วย

1. ทุกข์จากสรีระ 
2. ทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน 
3. ทุกข์จากการทำมาหาเลี้ยงชีพหรือการประกอบอาชีพ 
4. ทุกข์จากกิเลส

 วิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องประกอบด้วย

1. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากสรีระ  
2. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน 
3. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการประกอบอาชีพ 
4. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากกิเลส

วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากสรีระ

สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ความดีสากล 5 ประการ เพื่อเราจะได้รักษาศีล 4 ข้อแรกในศีล 5 ไว้ได้ เพราะความดีสากล 5 ประการนั้น สะอาด ทำให้ไม่ต้องฆ่า ระเบียบทำให้ไม่ต้องลัก สุภาพทำให้ไม่ประพฤติผิดในกาม ตรงเวลาทำให้ไม่พูดเท็จ แล้วก็ฝึกสมาธิทำให้มีกำลังใจที่จะทำความดีสากลให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ


ผู้ที่ฝึกทำการงานตามความดีสากลอย่างนี้ ในที่สุดจะทำงานบ้านทุกอย่างได้จะเป็นผู้มีทั้งสติ ปัญญา ความรู้ ความสามารถมีความพร้อมที่จะอุปการะพี่ ๆ น้อง ๆ ได้ หรือตั้งแต่เล็กก็สามารถเป็นกำลังของครอบครัวได้

แม้แต่บุคคลที่เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อโลกอย่างมิตรแท้ประเภทมิตรมีอุปการะ ก็ได้รับการบ่มเพาะจากวิธีนี้ คือ ความดีสากล 5 ประการ เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการใช้ทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้แบ่งทรัพย์ออกเป็น 4 ส่วน โดยให้นำทรัพย์ 1 ใน 4 ส่วนนั้นแบ่งไว้ใช้ดูแลสุขภาพคือปราบทุกข์จากสรีระโดยทำควบคู่ไปกับการทำความดีสากล 5 ประการ

วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน

การอยู่ร่วมกับบุคคลที่แวดล้อมใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นบุคคลในทิศใดจากทิศ 6 เราก็ต้องทำความดีสากล 5 ประการกับท่านเหล่านั้นด้วย คือทำความดีกับทุก ๆ คน

ในขณะเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้นำทรัพย์อีก 2 ส่วน จากในทั้งหมด 4 ส่วนนั้น มาใช้เพื่อการประกอบอาชีพและการผูกมิตร เพื่อปราบทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน

การผูกมิตรในที่นี้ก็คือ การใช้ทรัพย์เพื่อดูแลบุคคลใกล้ชิดทั้งในครอบครัวและในสังคมใครเดือดร้อนก็ช่วยกันไป การช่วยเหลือกันไปมาเช่นนี้ทำให้การอยู่ร่วมกันมีประโยชน์สุขเกิดขึ้น ลดความเดือดร้อนจากการกระทบกระทั่งของผู้ที่อยู่ร่วมกัน จากตรงนี้น้ำใจของมิตรแท้ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขก็ถูกบ่มเพาะขึ้นมา

วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการประกอบอาชีพ

ในการทำงานอาชีพ บุคคลที่แวดล้อมขยายวงกว้างมากขึ้น เพิ่มจำนวนอย่างมากมายมีทั้งเจ้านาย มีทั้งลูกน้อง บุคคลทั้งหมดที่เราเกี่ยวข้อง เราก็ต้องปฏิบัติความดีสากลต่อทุกคน ยิ่งต้องดูแลลูกน้อง เราก็จะได้เรียนรู้ประสบการณ์อะไรอีกสารพัด ที่บังคับให้เราต้องเพิ่มพูนความรู้ความสามารถและคุณธรรมจึงจะสามารถดูแลแนะนำลูกน้องให้ทำงานสำเร็จเรียบร้อยได้ การงานเหล่านี้ได้บ่มเพาะให้คุณสมบัติมิตรแท้ผู้แนะนำประโยชน์เกิดขึ้น

วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากกิเลส

กิจในการกำจัดกิเลส เช่น จัดเวลาสวดมนต์ก่อนนอน พอใจเป็นกลาง เราจะพบว่าในวันนี้ที่เราทำงานมาทั้งวัน เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราทำอะไรที่ผิดพลาดลงไปบ้างหรือไม่ ไปสะดุดใครเขาบ้างหรือไม่ วันรุ่งขึ้นจะได้ปรับความเข้าใจขอโทษกันไป เมื่อทำอย่างนี้เราจะไม่ก่อศัตรูและยังลดทิฐิมานะไปได้อีกด้วย หรือวันนี้ทำงานประสบผลสำเร็จ ก็จะได้สำรวจตรวจตราดูให้รู้แน่แก่ใจ ว่าที่เราทำสำเร็จมาได้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง เพราะการที่จะทำอะไรสำเร็จลำพังคนเดียวนั้นไม่มีหรอก จะต้องมีมือสนับสนุน เมื่อสำเร็จแล้วต้องขอบคุณ นึกถึงผู้สนับสนุนเราให้ดี วันหน้าจะได้พึ่งพากันต่อไปอีก ความดีสากลที่เราประพฤติเพื่อการนี้ ได้บ่มเพาะตัวเราให้เป็นมิตรแท้มีใจรักใคร่    

นอกจากนั้น ทรัพย์ที่ยังเหลืออีก 1 ส่วนจาก 4 ส่วน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้แบ่งออกมาเก็บไว้ใช้ยามอันตราย

อันตรายมี 2 ประเภท

ประเภทที่ 1 อันตรายในวัฏสงสาร

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้นำทรัพย์ส่วนนี้ออกมาทำบุญ ซึ่งเป็นการฝากทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการสั่งสมเสบียงบุญให้ติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติ เพราะเข้าใจภัยในวัฏสงสาร

 ประเภทที่ 2 อันตรายในชีวิตของผู้อื่น

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้นำทรัพย์ส่วนนี้ ออกไปสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ที่ประสบเหตุเภทภัยตกทุกข์ได้ยากในช่วงสถานการณ์ไม่ปกตินอกจากนั้นในช่วงสถานการณ์ปกติ ก็นำทรัพย์ส่วนนี้ออกแบ่งปันในสังคม เช่น การจ่ายภาษีก็จัดเป็นการใช้ทรัพย์ในส่วนนี้ด้วย

ข้อคิดที่สำคัญในการดำเนินชีวิต 
มีความจริงอยู่ว่า มนุษย์เราอยู่กันเป็นสังคม เราอยู่ตามลำพังโดยไม่สนใจทุกข์ร้อนของใครไม่ได้ วันหนึ่งเราจะต้องมีเหตุให้จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพราะแต่ละคนล้วนมีปัญหาทุกข์ 4 ด้วยกันหมดทั้งสิ้น ต่างกันแค่มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น จริงอยู่ว่า เราอาจจะแก้ปัญหาทุกข์ 4 ของเราได้ลงตัวระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่เพื่อน ๆ อีกหลายคนยังแก้ไขไม่ได้ 

สมมุติว่าเราแกล้งทำมองไม่เห็น คิดว่าธุระไม่ใช่ แต่เชื่อไหมว่าผ่านไปอีกสักระยะ ความเดือดร้อนของเพื่อนคนนั้นมีสิทธิ์จะลุกลามมาหาเรา เช่น เขาอาจจะมาขอกู้เงินบ้าง เขาอาจจะไปทำอาชีพที่ผิดกฎหมายบ้าง เขาอาจจะไปคบหาคนพาลบ้าง เพียงแค่นี้สังคมรอบตัวเราก็จะเกิดปัญหาการอยู่ร่วมกันขึ้นมาทันที

ดังนั้น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เราทำความดีคนเดียวไม่ได้ ต้องชักชวนผู้อื่นทำความดีด้วย แต่เวลาเราจะชักชวนผู้อื่นทำความดี สิ่งที่ต้องมีคือหลักธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ นั่นคือ สังคหวัตถุ 4 เพราะถ้าไม่มีหลักธรรมนี้ ถึงเราจะลงทุนลงแรง คือ ให้เวลา ให้ทรัพย์สมบัติ ให้ความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาทุกข์ 4 ของบุคคลรอบตัวไปมากเท่าไร ก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการรักษามิตรแท้ในทิศทั้ง 6 ไว้ได้เลย เพราะเราช่วยเหลือคน แต่ยึดเหนี่ยวน้ำใจคนไม่เป็นนั่นเอง

 สังคหวัตถุ 4 ประกอบด้วย 
1. ทาน 
2. ปิยวาจา 
3. อัตถจริยา 
4. สมานัตตตา


ทาน แก้ปัญหาทุกข์ในสรีระ



ทุกข์ในสรีระ คือ สภาวะที่มนุษย์ประสบกับความหนาว ร้อน หิว กระหาย อุจจาระปัสสาวะ อยู่เป็นประจำ เพราะมนุษย์ขาดแคลนธาตุ 4 ขาดแคลนปัจจัย 4 ตลอดชีวิต จึงมีกิจที่จะต้องแสวงหาปัจจัย 4 เหล่านี้ ในยามที่ขาดแคลนแสวงหาไม่ได้ ยามนั้นหากมีใครยื่นมือยื่นน้ำใจส่งมอบปัจจัย 4 ที่กำลังขาดแคลนมาให้ มนุษย์จะมีความชื่นใจเกิดขึ้น ทาน คือการให้ จึงมีความสำคัญและยึดเหนี่ยวน้ำใจกันไว้เช่นนี้

ปิยวาจา แก้ปัญหาทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน



ทุกข์จากการอยู่ร่วมกันที่ต้องระมัดระวังการกระทบกระทั่งกันไว้ตลอด และการกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย และได้มากที่สุดก็เกิดจากคำพูดที่พลั้งเผลอไม่ถนอมน้ำใจกันนี่เอง ดังนั้น ปิยวาจา คือ คำพูดที่ทำให้รักกัน ถนอมน้ำใจกัน จึงเป็นกาวใจที่รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันไว้ได้ และเป็น สิ่งที่ต้องการในการอยู่ร่วมกัน

อัตถจริยา แก้ปัญหาทุกข์จากการประกอบอาชีพ




ทุกข์จากการประกอบอาชีพ ในการแสวงหาทรัพย์สินเงินทองเพื่อการเลี้ยงชีพนั้นหากยังมีเรี่ยวแรงกำลังกายอยู่ ทุกคนทำงานเองได้ หาเงินได้ แต่อาจจะติดขัดตรงที่ความรู้ความสามารถไม่ถึงหรือไม่มี จากตรงนี้หากผู้รู้มากกว่าจะช่วยทำประโยชน์ให้ด้วยการชี้แนะแนวทาง สอนวิธีการให้ ถ่ายทอดวิชาให้ ก็จะเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้เขาสามารถประกอบอาชีพด้วยตนเอง อัตถจริยา คือ การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จึงเป็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันในทิศ 6 ในลักษณะนี้

สมานัตตตา แก้ปัญหาทุกข์จากกิเลสบีบคั้น

ทุกข์จากกิเลสที่บีบคั้นใจ ให้มีพฤติกรรมมีนิสัยไม่ดีต่าง ๆ เราก็อยากจะแก้ไข บางทีเราไม่ทราบด้วยว่านิสัยนี้ไม่ดี การจะแก้ไขข้อบกพร่องได้ก็ต้องอาศัยการชี้บอกจากคนใกล้ชิดในทิศ 6 ที่เรามีความไว้วางใจ ความเป็นกันเอง ที่เชื่อใจได้ว่าที่เขาพูดออกมา      เพราะเขามีความปรารถนาดีกับเราจริง ความมั่นใจเชื่อใจในตัวบุคคลเกิดจากความประพฤติตนอันสม่ำเสมอของคน ๆ นั้น ได้แก่ธรรมที่เรียกว่า สมานัตตตา

เพราะเหตุนี้ สังคหวัตถุ 4 จึงเป็นคุณธรรมที่จำเป็นสำหรับวิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง นั่นก็เพราะทุกข์จากกิเลสในตัวมนุษย์นี้เอง ที่บังคับให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์อีก 3 ประการ การฝึกตนเพื่อแก้ไขทุกข์ 4 ของตัวเองไปด้วย การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยสังคหวัตถุ 4 ไปด้วย ก็จะทำให้เราเกิดบรรยากาศฝึกตัวไปด้วยกัน ทำดีไปด้วยกัน ซึ่งจะเกิดเป็นวิถีชีวิตที่ดีงาม สังคมที่อยู่ตรงนั้นก็จะกลายเป็นสังคมที่น่าอยู่นั่นเอง

ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจภาพรวมแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเช่นนี้ เราก็เริ่มต้นด้วยการประพฤติตามความดีสากล 5 ประการ พร้อมกับปฏิบัติสังคหวัตถุ 4 ไปด้วย เราก็จะประสบความสำเร็จในการฝึกตนเอง และช่วยเหลือสนับสนุนให้คนในครอบครัว ในที่ทำงาน ในสังคมของเราแก้ทุกข์ 4 ในตัวของเขาไปด้วยกันได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องสม่ำเสมอ ฝึกทำให้ชำนาญ จึงจะส่งผลให้วิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนี้ประสบผลสำเร็จในการดูแลรักษาชีวิตและพัฒนาชีวิตต่อไปได้


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว
หลวงพ่อตอบปัญหา


จากพระธรรมเทศนาที่เราทุกท่านได้ทัสนา ทำให้ได้ข้อคิดว่ามนุษย์เราไม่ว่าจะเกิดมาในสมัยที่สื่อความกันด้วยการใช้อุปกรณ์เป็นตัวนำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เช่น สมัยโบราณกาลเราใช้ม้าเร็วส่งข่าวสาร พัฒนามาใช้นกพิราบ ต่อมาใช้ไปรษณีย์ จน ณ ปัจจุบันเราอยู่ในยุคใช้โซเชียลเป็นสื่อนำในการติดต่อสื่อสารส่งข่าวสารถึงกัน 

เราจะปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมคะว่า การที่เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขนับจากโบราณกาลจวบจนปัจจุบันนี้ เราทุกคนได้ยึดธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข 

ท้ายที่สุดนี้สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตของเรามิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยล้าสมัยมีแต่ทันสมัยใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะท่านทรงสอนให้เราทุกคนดำรงค์อยู่ร่วมกันด้วย พอสรุปด้วยหลัก UG5 ความดีสากลพื้นฐาน 5 ประการ คือ ความสะอาด สุภาพ นุ่มนวล ตรงต่อเวลาและมีสติตั้งมั่น พร้อมสังฆหวัตถุ 4 ประการนี้ 

เห็นได้ว่าสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของเราคือบุญ การดำเนินชีวิตของเราทุกยุคทุกสมัยสิ่งสำคัญที่จักทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขสมปรารถนาได้ เพราะเราดำเนินตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอให้เราทุกท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นเข้าวัดบำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ให้เป็นนิตย์  ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาให้เราทุกคนอยู่อย่างสะดวกสบายแค่ไหนก็ตามเราควรมีธรรมะควบคู่ไปด้วย จะทำให้ชีวิตของเราดำรงค์ชีวิตอย่างเป็นสุขปลอดภัยในสังสารวัฏทั้งภพชาติปัจจุบันและภพชาติเบื้องหน้าเพราะ #การสั่งสมบุญนำสุขมาให้


กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :


วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน


วันนี้ขอนำเสนอโอวาทอันทรงคุณค่าของหลวงพ่อทัตตชีโว มาให้ทุกท่านได้ประเทืองปัญญาและเป็นกำลังใจเป็นแนวทางในการสร้างความดีของพวกเราเหล่ายอดกัลยาณมิตร

หลวงพ่อทัตตชีโว

เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นที่ใจของเรา จับหลักคิดให้ได้ก่อนว่า ในการทำการงานสิ่งใด ๆ นั้นเรามีเป้าหมายเพื่ออะไร เมื่อเป้าหมายชัดจะมีกำลังใจทำการงานนั้นๆ

 

การทำงานทุกอย่าง ความจริงแล้วไม่มีที่จะไม่เหนื่อย ก็เนื้อมนุษย์กายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรที่ทำด้วยเหล็ก จะได้ไม่เหนื่อย แต่ว่าเหนื่อยเท่าใดก็ตาม มันเหนื่อยแค่กาย กายล้าไปบ้าง กล้ามเนื้อล้าไปบ้าง ล้ามากๆร่างกายก็ต้องการพัก แต่พักแล้วก็หาย กลับมามีเรี่ยวแรงทำต่อไปได้

 

กายเหนื่อยก็เหนื่อยไป แต่ไม่เหนื่อยใจ ไม่หน่ายที่จะทำต่อไป มีแต่จะกระตือรือร้นทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะได้หลักในการทำงานจับหลักคิดได้ว่า การงานทุกอย่างนั้นทำเพื่อตัวของเราเอง  เพื่อบุญบารมีของเราเอง เลยไม่เหนื่อยหน่ายในการที่จะสร้างบุญสร้างบารมีของตนเอง

 

ตัวอย่างเช่น หอฉันของวัดพระธรรมกายคุณยายสร้างเอาไว้ให้ อาสนะที่นั่งของพระในหอฉันก็เป็นตามแบบที่คุณยายท่านสั่งให้ทำเอาไว้

 

เมื่อเราจะสร้างหอฉัน ก็เข้าที่ประชุมกันว่า ในเวลาพระฉันภัตตาหาร จะให้ปูเสื่อฉันกันสบายๆหรือจะให้นั่งเก้าอี้ซึ่งสะดวกดี หรือจะให้มีอาสนะทำเป็นตั่งเป็นแท่นนั่งอย่างที่พระนั่งกันในหอฉันปัจจุบันนี้ ก็ถกเถียงกันไปว่าจะเลือกอย่างไรดี เถียงกันไปเถียงกันมา ถกกันไปถกกันมา คุณยายฟันธงเลยว่า

หลวงปู่ วัดปากน้ำทำต้นแบบไว้ดีแล้ว คือยกเป็นแท่นเป็นอาสนะขึ้นมาอย่างนี้ ไม่เอานั่งเก้าอี้ และไม่เอานั่งกับพื้น

 

ถ้านั่งกับพื้นก็เท่าๆกับญาติโยม เวลาจะเข้ามาประเคนก็ลำบาก แล้วก็ไม่เรียบร้อย ดูก็ไม่งาม ส่วนนั่งเก้าอี้ เวลาถวายสังฆทานเวลาถวายของ พระจะหันหน้าไปรูปละทางสองทาง จะมีพระหันหน้าให้โยมบ้าง หันหลังให้โยมบ้าง จะขาดความศักดิ์สิทธิ์ไป แม้จะได้ความสะดวกความสบาย แต่ขาดความศักดิ์สิทธิ์

 

พิธีถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน หอฉันคุณยายฯ

ดังนั้น ทำเป็นแท่นอย่างที่หลวงปู่ทำไว้เป็นต้นแบบอย่างนี้ถูกแล้ว แต่ว่าขนาดจะเป็นอย่างไร คุณยายให้หาขนาดเอาเอง ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับที่วัดปากน้ำ เพราะคนละสถานการณ์กัน ท่านให้ไปคำนวณเอาเองว่าความสูงควรเป็นเท่าไร ความกว้างความยาวควรจะเป็นเท่าไร แล้วหากมีความจำเป็นจะต้องย้าย มีความจำเป็นจะต้องจัดรูปแบบใหม่จะต้องยกเคลื่อนที่ ก็ไปคิดเอาเองก็แล้วกัน คุณยายฟันธงเลือกแบบให้เรียบร้อย

 

ดูวิธีมองงานของคุณยายนะ ว่าท่านมองอย่างไร ท่านมองถึงความสะดวกสบายของพระซึ่งเป็นผู้ขบผู้ฉัน มองถึงความสะดวกสบายของญาติโยมด้วย และสุดท้ายมองถึงความน่าเลื่อมใสน่าศรัทธาในตัวพระภิกษุและพระพุทธศาสนาการที่ท่านคิดไว้อย่างนี้ สั่งให้ทำอย่างนี้

 

ท่านได้บุญไปแล้วเพื่อตัวท่าน ท่านก็เก็บเกี่ยวเอาบุญส่วนนั้นไป ผลพลอยได้เป็นของพวกเราคือพระก็มีที่ฉันที่ใช้กันอย่างสะดวกสบาย ญาติโยมก็มาถวายสะดวก ทำบุญก็ปลื้มใจได้ง่าย ตามระลึกถึงบุญได้ง่าย และมีศรัทธาเพิ่มพูนในพระพุทธศาสนา

 

เมื่อเราต่างก็ได้ผลพลอยได้จากท่านมาแล้ว ก็จะได้อาศัยผลพลอยได้นี้ไปตั้งหลัก ที่จะไปทำอะไรที่เป็นผลหลักของเราจริงๆ ถ้าอย่างนี้ก็จะเป็นบุญต่อบุญกันเรื่อย ๆ ไม่รู้จบแล้วก็จะกลายเป็นอายุพระพุทธศาสนา อย่างที่เราทำกันอยู่นี้เวลาถวายสังฆทานไม่ว่าพระจะนั่งอยู่ตรงอาสนะไหน ก็รับหน้าญาติโยมได้ทุกทิศ ซึ่งเป็นความเรียบร้อยและน่าเลื่อมใสให้เราดูเอาไว้ก็แล้วกันว่า หลักการในการทำงานมีบุญของเราเป็นตัวตั้ง นอกนั้นเป็นผลพลอยได้

 

เมื่อทำงานโดยเอาบุญเป็นตัวตั้งแล้ว จะไม่มีขัดกัน จะไปด้วยกันได้ทุกส่วน ตรงนี้เป็นความแปลก เอาบุญเป็นตัวตั้งเหมือนอย่างกับเอาดวงอาทิตย์เป็นตัวตั้ง เวลาเราเดินไปไหนเหมือนดวงอาทิตย์ตามไปด้วย แล้วก็ไม่มีใครบังใครทั้งนั้น เพราะว่าดวงอาทิตย์อยู่ข้างบนไม่ว่าองศาของดวงอาทิตย์จะเป็นอย่างไร ก็อยู่เหนือศีรษะมนุษย์หมด ไม่มีใครใหญ่กว่าใครไม่มีใครมาบังมาเบียดใคร เมื่อเอาบุญเป็นตัวตั้งอย่างจริงจังแล้ว จะไม่มีการบังการเบียดใคร จะมีแต่ได้ประโยชน์กับได้ประโยชน์กันทุกคนทุกฝ่ายเลย นี้แหละจะเป็นกำลังใจให้เราทำงานนั้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว

หลวงพ่อตอบปัญหา


วันนี้พวกเราทุกท่านได้ข้อคิดในการทำงานว่า "ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน" กันมาอย่างเข้าใจอย่างถ่องแท้  เพื่อเป็นแนวทางในทำงานสร้างบารมีทุกอย่างให้ได้ทั้งบุญและความปลื้มกันอย่างเต็มที่กันทุกคน

"หยาดเหงื่อทุกหยดต่างกลั่นเป็นบุญใส ๆ ด้วยเราทุกคนต่างตั้งใจสร้างสิ่งดีๆนี้ไว้ในพระพุทธศาสนา" 


ท้ายที่สุดนี้ การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นของยาก เกิดมาเจอพระพุทธศาสนาก็ยากยิ่ง รักษาความโชคดีด้วยการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เข้าวัดบำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีลเจริญสมาธิภาวนา สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เพื่อเติมบุญเติมบารมีให้กับตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก เมื่อสวดจบก็อย่าลืมแชร์บทสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ไปให้กับบุคคลอันเป็นที่รักและชาวโลก 

สันติภาพโลกนี้จะบังเกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ เป็นอัศจรรย์ โลกอุดมคติจะต้องบังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ด้วยเราต้องเป็นหนึ่ง สาธุค่ะ


ขอกราบขอบพระคุณผู้มีส่วนทำให้บลอคนี้สมบูรณ์ :

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทัตตชีโว เรื่อง ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน

รูปประกอบ 

โลกสว่างไสวด้วย...สองมือเรา

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การได้เกิดมาเจอคำสอนของพระพุทธศาสนา มีศรัทธารักที่จะ ละชั่ว ทำความดี ทำใจใส ๆ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือ...