สังคมมนุษย์ยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กในทุกวันนี้ มีผู้รู้แนะนำแนวทางการใช้ชีวิตหลายรูปแบบมาก จนบางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีอยากทราบว่า ในพระพุทธศาสนามีคำแนะนำแนวทางการใช้ชีวิตที่เป็นมาตรฐานบ้างหรือไม่ว่าควรเป็นอย่างไร ?
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ให้เรามาใคร่ครวญดูให้ดีก่อนว่า ชีวิตคืออะไร ?
1.ชีวิต คือ การเป็นอยู่ในอัตภาพนี้ในโลกนี้ ในระยะเวลาหนึ่ง ปัจจุบันนี้ใครจะมีชีวิตอยู่เกินร้อยปีก็หาได้ยาก แทบจะนับคนได้สุดท้ายแล้วชีวิตก็ดับไป และแล้วก็ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพภูมิใหม่ มีชีวิตใหม่กันอีก
2.ชีวิตประกอบไปด้วยทุกข์ ซึ่งเราเคยทำความเข้าใจกันมาแล้วว่า ทุกข์ในโลกนี้แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นชีวิตแรกของสัตวโลกที่กำจัดทุกข์ให้สิ้นไปหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
ทุกข์นำมาซึ่งความเดือดร้อน ความหิวกระหาย ความทุรนทุรายแก่ชีวิต เมื่อทุกชีวิตประกอบไปด้วยทุกข์ 4 การดำเนินชีวิตให้เป็นอยู่อย่างดีและสามารถพัฒนาได้ จึงเป็นไปเพื่อดับทุกข์หรือปราบทุกข์ 4 นั่นเอง
จากตรงนี้เราก็พอทราบกันแล้วว่า เรา จะดำเนินชีวิตไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ดังนั้นวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง จึงเป็นการประกอบการงานต่าง ๆ เพื่อปราบทุกข์ 4
ทุกข์ 4 ประกอบด้วย
1. ทุกข์จากสรีระ
2. ทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน
3. ทุกข์จากการทำมาหาเลี้ยงชีพหรือการประกอบอาชีพ
4. ทุกข์จากกิเลส
วิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องประกอบด้วย
1. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากสรีระ
2. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน
3. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการประกอบอาชีพ
4. วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากกิเลส
วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากสรีระ
สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ความดีสากล 5 ประการ เพื่อเราจะได้รักษาศีล 4 ข้อแรกในศีล 5 ไว้ได้ เพราะความดีสากล 5 ประการนั้น สะอาด ทำให้ไม่ต้องฆ่า ระเบียบทำให้ไม่ต้องลัก สุภาพทำให้ไม่ประพฤติผิดในกาม ตรงเวลาทำให้ไม่พูดเท็จ แล้วก็ฝึกสมาธิทำให้มีกำลังใจที่จะทำความดีสากลให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ผู้ที่ฝึกทำการงานตามความดีสากลอย่างนี้ ในที่สุดจะทำงานบ้านทุกอย่างได้จะเป็นผู้มีทั้งสติ ปัญญา ความรู้ ความสามารถมีความพร้อมที่จะอุปการะพี่ ๆ น้อง ๆ ได้ หรือตั้งแต่เล็กก็สามารถเป็นกำลังของครอบครัวได้
แม้แต่บุคคลที่เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อโลกอย่างมิตรแท้ประเภทมิตรมีอุปการะ ก็ได้รับการบ่มเพาะจากวิธีนี้ คือ ความดีสากล 5 ประการ เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการใช้ทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้แบ่งทรัพย์ออกเป็น 4 ส่วน โดยให้นำทรัพย์ 1 ใน 4 ส่วนนั้นแบ่งไว้ใช้ดูแลสุขภาพคือปราบทุกข์จากสรีระโดยทำควบคู่ไปกับการทำความดีสากล 5 ประการ
วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน
การอยู่ร่วมกับบุคคลที่แวดล้อมใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นบุคคลในทิศใดจากทิศ 6 เราก็ต้องทำความดีสากล 5 ประการกับท่านเหล่านั้นด้วย คือทำความดีกับทุก ๆ คน
ในขณะเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้นำทรัพย์อีก 2 ส่วน จากในทั้งหมด 4 ส่วนนั้น มาใช้เพื่อการประกอบอาชีพและการผูกมิตร เพื่อปราบทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน
การผูกมิตรในที่นี้ก็คือ การใช้ทรัพย์เพื่อดูแลบุคคลใกล้ชิดทั้งในครอบครัวและในสังคมใครเดือดร้อนก็ช่วยกันไป การช่วยเหลือกันไปมาเช่นนี้ทำให้การอยู่ร่วมกันมีประโยชน์สุขเกิดขึ้น ลดความเดือดร้อนจากการกระทบกระทั่งของผู้ที่อยู่ร่วมกัน จากตรงนี้น้ำใจของมิตรแท้ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขก็ถูกบ่มเพาะขึ้นมา
วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากการประกอบอาชีพ
ในการทำงานอาชีพ บุคคลที่แวดล้อมขยายวงกว้างมากขึ้น เพิ่มจำนวนอย่างมากมายมีทั้งเจ้านาย มีทั้งลูกน้อง บุคคลทั้งหมดที่เราเกี่ยวข้อง เราก็ต้องปฏิบัติความดีสากลต่อทุกคน ยิ่งต้องดูแลลูกน้อง เราก็จะได้เรียนรู้ประสบการณ์อะไรอีกสารพัด ที่บังคับให้เราต้องเพิ่มพูนความรู้ความสามารถและคุณธรรมจึงจะสามารถดูแลแนะนำลูกน้องให้ทำงานสำเร็จเรียบร้อยได้ การงานเหล่านี้ได้บ่มเพาะให้คุณสมบัติมิตรแท้ผู้แนะนำประโยชน์เกิดขึ้น
วิธีดำเนินชีวิตเพื่อการปราบทุกข์จากกิเลส
กิจในการกำจัดกิเลส เช่น จัดเวลาสวดมนต์ก่อนนอน พอใจเป็นกลาง เราจะพบว่าในวันนี้ที่เราทำงานมาทั้งวัน เกิดอะไรขึ้นบ้าง เราทำอะไรที่ผิดพลาดลงไปบ้างหรือไม่ ไปสะดุดใครเขาบ้างหรือไม่ วันรุ่งขึ้นจะได้ปรับความเข้าใจขอโทษกันไป เมื่อทำอย่างนี้เราจะไม่ก่อศัตรูและยังลดทิฐิมานะไปได้อีกด้วย หรือวันนี้ทำงานประสบผลสำเร็จ ก็จะได้สำรวจตรวจตราดูให้รู้แน่แก่ใจ ว่าที่เราทำสำเร็จมาได้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง เพราะการที่จะทำอะไรสำเร็จลำพังคนเดียวนั้นไม่มีหรอก จะต้องมีมือสนับสนุน เมื่อสำเร็จแล้วต้องขอบคุณ นึกถึงผู้สนับสนุนเราให้ดี วันหน้าจะได้พึ่งพากันต่อไปอีก ความดีสากลที่เราประพฤติเพื่อการนี้ ได้บ่มเพาะตัวเราให้เป็นมิตรแท้มีใจรักใคร่
นอกจากนั้น ทรัพย์ที่ยังเหลืออีก 1 ส่วนจาก 4 ส่วน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้แบ่งออกมาเก็บไว้ใช้ยามอันตราย
อันตรายมี 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 อันตรายในวัฏสงสาร
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้นำทรัพย์ส่วนนี้ออกมาทำบุญ ซึ่งเป็นการฝากทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนา เป็นการสั่งสมเสบียงบุญให้ติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติ เพราะเข้าใจภัยในวัฏสงสาร
ประเภทที่ 2 อันตรายในชีวิตของผู้อื่น
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้นำทรัพย์ส่วนนี้ ออกไปสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ที่ประสบเหตุเภทภัยตกทุกข์ได้ยากในช่วงสถานการณ์ไม่ปกตินอกจากนั้นในช่วงสถานการณ์ปกติ ก็นำทรัพย์ส่วนนี้ออกแบ่งปันในสังคม เช่น การจ่ายภาษีก็จัดเป็นการใช้ทรัพย์ในส่วนนี้ด้วย
ข้อคิดที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
มีความจริงอยู่ว่า มนุษย์เราอยู่กันเป็นสังคม เราอยู่ตามลำพังโดยไม่สนใจทุกข์ร้อนของใครไม่ได้ วันหนึ่งเราจะต้องมีเหตุให้จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพราะแต่ละคนล้วนมีปัญหาทุกข์ 4 ด้วยกันหมดทั้งสิ้น ต่างกันแค่มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น จริงอยู่ว่า เราอาจจะแก้ปัญหาทุกข์ 4 ของเราได้ลงตัวระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่เพื่อน ๆ อีกหลายคนยังแก้ไขไม่ได้
สมมุติว่าเราแกล้งทำมองไม่เห็น คิดว่าธุระไม่ใช่ แต่เชื่อไหมว่าผ่านไปอีกสักระยะ ความเดือดร้อนของเพื่อนคนนั้นมีสิทธิ์จะลุกลามมาหาเรา เช่น เขาอาจจะมาขอกู้เงินบ้าง เขาอาจจะไปทำอาชีพที่ผิดกฎหมายบ้าง เขาอาจจะไปคบหาคนพาลบ้าง เพียงแค่นี้สังคมรอบตัวเราก็จะเกิดปัญหาการอยู่ร่วมกันขึ้นมาทันที
ดังนั้น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เราทำความดีคนเดียวไม่ได้ ต้องชักชวนผู้อื่นทำความดีด้วย แต่เวลาเราจะชักชวนผู้อื่นทำความดี สิ่งที่ต้องมีคือหลักธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ นั่นคือ สังคหวัตถุ 4 เพราะถ้าไม่มีหลักธรรมนี้ ถึงเราจะลงทุนลงแรง คือ ให้เวลา ให้ทรัพย์สมบัติ ให้ความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาทุกข์ 4 ของบุคคลรอบตัวไปมากเท่าไร ก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการรักษามิตรแท้ในทิศทั้ง 6 ไว้ได้เลย เพราะเราช่วยเหลือคน แต่ยึดเหนี่ยวน้ำใจคนไม่เป็นนั่นเอง
สังคหวัตถุ 4 ประกอบด้วย
1. ทาน
2. ปิยวาจา
3. อัตถจริยา
4. สมานัตตตา
ทาน แก้ปัญหาทุกข์ในสรีระ
ทุกข์ในสรีระ คือ สภาวะที่มนุษย์ประสบกับความหนาว ร้อน หิว กระหาย อุจจาระปัสสาวะ อยู่เป็นประจำ เพราะมนุษย์ขาดแคลนธาตุ 4 ขาดแคลนปัจจัย 4 ตลอดชีวิต จึงมีกิจที่จะต้องแสวงหาปัจจัย 4 เหล่านี้ ในยามที่ขาดแคลนแสวงหาไม่ได้ ยามนั้นหากมีใครยื่นมือยื่นน้ำใจส่งมอบปัจจัย 4 ที่กำลังขาดแคลนมาให้ มนุษย์จะมีความชื่นใจเกิดขึ้น ทาน คือการให้ จึงมีความสำคัญและยึดเหนี่ยวน้ำใจกันไว้เช่นนี้
ปิยวาจา แก้ปัญหาทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน
ทุกข์จากการอยู่ร่วมกันที่ต้องระมัดระวังการกระทบกระทั่งกันไว้ตลอด และการกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย และได้มากที่สุดก็เกิดจากคำพูดที่พลั้งเผลอไม่ถนอมน้ำใจกันนี่เอง ดังนั้น ปิยวาจา คือ คำพูดที่ทำให้รักกัน ถนอมน้ำใจกัน จึงเป็นกาวใจที่รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันไว้ได้ และเป็น สิ่งที่ต้องการในการอยู่ร่วมกัน
อัตถจริยา แก้ปัญหาทุกข์จากการประกอบอาชีพ
ทุกข์จากการประกอบอาชีพ ในการแสวงหาทรัพย์สินเงินทองเพื่อการเลี้ยงชีพนั้นหากยังมีเรี่ยวแรงกำลังกายอยู่ ทุกคนทำงานเองได้ หาเงินได้ แต่อาจจะติดขัดตรงที่ความรู้ความสามารถไม่ถึงหรือไม่มี จากตรงนี้หากผู้รู้มากกว่าจะช่วยทำประโยชน์ให้ด้วยการชี้แนะแนวทาง สอนวิธีการให้ ถ่ายทอดวิชาให้ ก็จะเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้เขาสามารถประกอบอาชีพด้วยตนเอง อัตถจริยา คือ การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จึงเป็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกันในทิศ 6 ในลักษณะนี้
สมานัตตตา แก้ปัญหาทุกข์จากกิเลสบีบคั้น
ทุกข์จากกิเลสที่บีบคั้นใจ ให้มีพฤติกรรมมีนิสัยไม่ดีต่าง ๆ เราก็อยากจะแก้ไข บางทีเราไม่ทราบด้วยว่านิสัยนี้ไม่ดี การจะแก้ไขข้อบกพร่องได้ก็ต้องอาศัยการชี้บอกจากคนใกล้ชิดในทิศ 6 ที่เรามีความไว้วางใจ ความเป็นกันเอง ที่เชื่อใจได้ว่าที่เขาพูดออกมา เพราะเขามีความปรารถนาดีกับเราจริง ความมั่นใจเชื่อใจในตัวบุคคลเกิดจากความประพฤติตนอันสม่ำเสมอของคน ๆ นั้น ได้แก่ธรรมที่เรียกว่า สมานัตตตา
เพราะเหตุนี้ สังคหวัตถุ 4 จึงเป็นคุณธรรมที่จำเป็นสำหรับวิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง นั่นก็เพราะทุกข์จากกิเลสในตัวมนุษย์นี้เอง ที่บังคับให้มนุษย์ต้องประสบทุกข์อีก 3 ประการ การฝึกตนเพื่อแก้ไขทุกข์ 4 ของตัวเองไปด้วย การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยสังคหวัตถุ 4 ไปด้วย ก็จะทำให้เราเกิดบรรยากาศฝึกตัวไปด้วยกัน ทำดีไปด้วยกัน ซึ่งจะเกิดเป็นวิถีชีวิตที่ดีงาม สังคมที่อยู่ตรงนั้นก็จะกลายเป็นสังคมที่น่าอยู่นั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจภาพรวมแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเช่นนี้ เราก็เริ่มต้นด้วยการประพฤติตามความดีสากล 5 ประการ พร้อมกับปฏิบัติสังคหวัตถุ 4 ไปด้วย เราก็จะประสบความสำเร็จในการฝึกตนเอง และช่วยเหลือสนับสนุนให้คนในครอบครัว ในที่ทำงาน ในสังคมของเราแก้ทุกข์ 4 ในตัวของเขาไปด้วยกันได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความต่อเนื่องสม่ำเสมอ ฝึกทำให้ชำนาญ จึงจะส่งผลให้วิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนี้ประสบผลสำเร็จในการดูแลรักษาชีวิตและพัฒนาชีวิตต่อไปได้
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว
หลวงพ่อตอบปัญหา
จากพระธรรมเทศนาที่เราทุกท่านได้ทัสนา ทำให้ได้ข้อคิดว่ามนุษย์เราไม่ว่าจะเกิดมาในสมัยที่สื่อความกันด้วยการใช้อุปกรณ์เป็นตัวนำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เช่น สมัยโบราณกาลเราใช้ม้าเร็วส่งข่าวสาร พัฒนามาใช้นกพิราบ ต่อมาใช้ไปรษณีย์ จน ณ ปัจจุบันเราอยู่ในยุคใช้โซเชียลเป็นสื่อนำในการติดต่อสื่อสารส่งข่าวสารถึงกัน
เราจะปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมคะว่า การที่เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขนับจากโบราณกาลจวบจนปัจจุบันนี้ เราทุกคนได้ยึดธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
ท้ายที่สุดนี้สิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตของเรามิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยล้าสมัยมีแต่ทันสมัยใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะท่านทรงสอนให้เราทุกคนดำรงค์อยู่ร่วมกันด้วย พอสรุปด้วยหลัก UG5 ความดีสากลพื้นฐาน 5 ประการ คือ ความสะอาด สุภาพ นุ่มนวล ตรงต่อเวลาและมีสติตั้งมั่น พร้อมสังฆหวัตถุ 4 ประการนี้
เห็นได้ว่าสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของเราคือบุญ การดำเนินชีวิตของเราทุกยุคทุกสมัยสิ่งสำคัญที่จักทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขสมปรารถนาได้ เพราะเราดำเนินตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้เราทุกท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นเข้าวัดบำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา ให้เป็นนิตย์ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาให้เราทุกคนอยู่อย่างสะดวกสบายแค่ไหนก็ตามเราควรมีธรรมะควบคู่ไปด้วย จะทำให้ชีวิตของเราดำรงค์ชีวิตอย่างเป็นสุขปลอดภัยในสังสารวัฏทั้งภพชาติปัจจุบันและภพชาติเบื้องหน้าเพราะ #การสั่งสมบุญนำสุขมาให้
กราบขอบพระคุณที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :
กราบสาธุเจ้าค่ะ
ตอบลบ