ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ศีล 5 เป็นกฎกติกาสากลของมวลมนุษย์ชาติ ที่ทุกคนต้องร่วมรักษา

 


#พระธรรมพุทธิมงคล(หลวงพ่อสะอิ้ง) 

เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี

พระมหาเถระปราชญ์เมืองสุพรรณ


วันนี้ขอน้อมนำโอวาทอันทรงคุณค่าของพระเดชพระคุณพระธรรมพุทธิมงคล(หลวงพ่อสะอิ้ง) มาให้ทุกท่านได้ประดับสติและประเทืองปัญญา เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องดีงาม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุขโดยถ้วนหน้า


ชีวิตในครอบครัวของเราต้องพลอยทุกข์ยากเดือดร้อนไปด้วยอะไร อะไรที่เป็นเหตุให้เดือดร้อนกัน ก็ละ ก็เว้นเสีย ก็จะดีมาก

สุราและเมรัยมีพิษภัยมากนักหนา              

เฮโรอีนฝิ่นกัญชาและยาบ้าก็เหมือนกัน 

เป็นสิ่งควรงดเว้นใครตกเป็นทาสของมัน     

ต้องทุกข์โทษมหันต์ชีวิตพลันหมดความหมาย 

สติจะเลอะเลือนอาการเหมือนภูตผีพราย   

ประสาทถูกทำลายสูญสลายความทรงจำ 

พ่อแม่ก็ฆ่าได้เหมือนผีร้ายเข้าครอบงำ      

ไม่เกรงกลัวบาปกรรมเลวระยำเกินโลกันตร์


พูดถึงความไม่ดี ก็เป็นที่ยอมรับนะ ขี้เหล้าเมายา มันก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ว่ามันไม่ดี ไม่มีใครยกย่องสรรเสริญ ว่าขี้เหล้าดี ขี้ยาดี ทั่วโลกมีแต่คนสาปแช่ง มีแต่คนนินทา เผลอ ๆ เจ็บตายไป แทนที่คนจะเมตตาสงสาร มีแต่คนสะใจไปซะเลย สมน้ำหน้า เพราะคนไม่รักตัวเอง คนที่พยายามหาสิ่งที่มันจะก่อทุกข์ก่อโทษให้เกิดแก่ตัวเองมาใส่ตัวเองนี้ เราก็ต้องถือว่าคนไม่รักตัว คนไม่รักดี ก็ต้องถือว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ เลิกซะดีกว่า

 

ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบัญญัติ  ให้คฤหัสถ์(ผู้ครองเรือน) รักษาศีล 5 กันนี้ ก็เพราะมองเห็นแล้วว่า ประโยชน์สุขของคนในครอบครัว คนในสังคมนั้นก็อยู่ที่แต่ละคนในครอบครัว แต่ละคนในสังคม อยู่กันด้วย ความดี ความงาม คือ จะต้องเป็นคนที่ทำความดีเสมอกัน ทำความดีเหมือนกัน ก็จะอยู่กันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข 


เพราะฉะนั้นอะไร อะไรที่จะเป็นชนวนเหตุแห่งความยุ่งยาก ความทุกข์ทั้งหลาย แก่ตนเองและแก่สังคม ตั้งสติพิจารณาให้เห็นคุณ เห็นโทษ เห็นว่าลดละเลิกเป็นคุณ เราก็ลดละเลิกเสีย เห็นว่าถ้าไม่ลด ไม่ละ ไม่เลิก มีแต่โทษอย่างเดียว แล้วยังไปฝืนบริโภคฝืนเสพ ก็ถือว่าเป็นคนไม่รักตัว ไม่รักครอบครัว ไม่รักเพื่อนฝูง เพราะอะไร ก็เพราะว่าเมื่อสิ่งเสพติดเหล่านี้ มาให้ทุกข์ ให้โทษแก่ตัวเองนี้ มันก็พลอยให้คนที่เกี่ยวข้องด้วย พลอยทุกข์ พลอยเดือดร้อนไปด้วย 


เพราะฉะนั้นก็เลิกเสียดีกว่า พยายามรักษาศีล 5 ไว้ให้ได้ คิดดูเถอะ ปัจจัยที่จะช่วยให้มีความสุขร่วมกัน อยู่ได้ในสังคมนี้ ก็คือ ศีล 5 นั่นเอง จะว่าเรื่องศีล 5 เรื่องคุณของศีล 5 ให้ฟังเป็นเครื่องประดับสติปัญญา

 

ศีล 5 นี้ ถือว่าเป็นกติกาสากล ที่ทุกคนในโลกนี้ จะต้องรักษากัน คิดให้เห็นให้ชัด ว่าในครอบครัวของเรานี้ เราจะอยู่กันอย่างมีความสุขได้ ทุกคนต้องมีศีลเหมือนกัน

 

สมมติว่าครอบครัวมีสมาชิกทั้งหมด 5 คน มีพ่อมีแม่และมีลูกอีก 3 คน ถามว่าใน 5 คนนี้ ถ้ามีคนหนึ่งเป็นคนไม่มีศีล มันก็จะทำให้อีก 4 คนนั้นต้องพลอยลำบากไปด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่า ต้องรักษาเหมือนกัน ต้องมีศีลเสมอกัน เพราะถือว่ามันเป็นกฎกติกาสากล ไม่ใช่เป็นกฎเป็นกติกาสากลสำหรับชาวพุทธเท่านั้น มันเป็นกฎกติกาสากลของมวลมนุษย์ชาติเลยก็แล้วกัน เพราะในครอบครัวทุกคนถ้าไม่มีศีลเหมือนกัน  ก็อยู่ร่วมกันไม่ได้  ต้องมีศีลเหมือนกัน พ่อแม่ก็มีศีลในลูก ลูกก็มีศีลในพ่อแม่ พี่น้องมีศีลในพี่น้องด้วยกัน เพื่อนมีศีลในเพื่อนด้วยกัน อย่างนี้อยู่ร่วมกันเป็นสุขทุกที่   เพราะทุกคนมีศีลเหมือนกัน ก็อยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุขได้ ทุกคน ทุกสังคมเช่นเดียวกัน  

เบญจศีลกฎสากลทุกคนต้องร่วมรักษา เพราะเป็นกติกาข้อสัญญาประชาคม 

มี 5 สิกขาบทท่านกำหนดไว้เหมาะสม 

เป็นหลักให้สังคมนิยมยึดประพฤติกัน 

โลกเราจะร่มเย็นศีลก็เป็นสิ่งสำคัญ 

เป็นหลักค้ำประกันสันติสุขทุกสังคม


ศีลข้อ 1 ปาณา ติปาตา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและไม่ใช่ให้ผู้อื่นฆ่า)

ข้อหนึ่งคือ ปาณา มีเมตตาเป็นอารมณ์ 

รักเพื่อนร่วมสังคม เหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน 

ไม่โกรธและไม่เกลียด ไม่เคียดแค้นคิดฆ่าฟัน 

ไม่ตบต่อยตีกัน ให้เจ็บช้ำระกำใจ

ตัวเรารักความสุข เกลียดความทุกข์แม้ฉันใด 

สัตว์อื่นโดยทั่วไป ต่างมีใจเช่นเดียวกัน 

สัตว์โลกทุกชนิด รักชีวิตกันทั้งนั้น 

ไม่คิดปลิดชีพกัน ย่อมสุขสันต์สมใจปอง 



ศีลข้อ 2 อทินนา ทาณา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการลัก ,ฉ้อ ของผู้อื่นด้วยตนเอง และไม่ใช่ให้ผู้อื่นลัก ฉ้อ)

สมบัติในโลกนี้ ทุกอย่างมีผู้จับจอง 

ถือสิทธิ์เป็นเจ้าของ ครอบครองกันทุกหย่อมหญ้า 

เงินทองและทรัพย์สิน ทั้งแผ่นดินและท้องฟ้า 

ทะเลและผืนป่า ทั่วโลกาถูกยึดครอง 

ชีวิตคนและสัตว์ เป็นสมบัติมีเจ้าของ

ดังนั้นศีลข้อสองทุกคนต้องสมาทาน

ไม่ลักไม่ฉ้อฉล ไม่จี้ปล้น ไม่รุกราน 

ทรัพย์สินหรือถิ่นฐานของเพื่อนบ้านเป็นของตน 

สำรวมระวังจิต เคารพสิทธิ์ของทุกคน 

เราหวงของ ของตน คนทุกคนก็เหมือนกัน 

สงครามผลประโยชน์ นั้นเหี้ยมโหดเกินคาดฝัน 

วันใดขัดแย้งกัน ความสัมพันธ์ย่อมเปลี่ยนไป 

มิตรกลายเป็นศัตรู คู่ต่อสู้ช่วงชิงชัย 

ผู้แพ้ย่อมแค้นใจ ผู้มีชัยไม่พ้นเวร 

สังคมเป็นสงคราม ทุกรูปนามต่างลำเค็ญ 

เคยอยู่อย่างร่มเย็น กลับทุกข์เข็ญร้อนเป็นไฟ 

ขาดศีลอทินนา ชาวประชาไม่ปลอดภัย 

ทุกคนกังวลใจ กลัวของหายหลับไม่ลง 

ศีลข้ออทินนา ถ้ารักษาได้มั่นคง 

โลกเราจะดำรง สันติสุขตลอดกาล


ศีลข้อ 3 กาเม สุมิฉา จารา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม)

ข้อสามอย่าลังเล กาเมสุมิฉาจาร 

ตั้งใจสมาทาน เว้นจากการผิดในกาม 

คู่ใครใครก็รัก ไม่อยากให้ใครลวนลาม 

มนุษย์ทุกรูปนาม หวงแหนกามกันทุกคน 

ไม่ล่วงเกินคู่ใคร ไม่นอกใจคู่ของตน 

เป็นหลักมนุษย์ชน ทั่วสากลประพฤติกัน 

ครอบครัวอยู่เป็นสุข พ่อแม่ลูกผูกสัมพันธ์ 

กลมเกลียวไม่แตกกัน ย่อมสุขสันต์กันทุกคน

 

ศีลข้อ 4 มุสา วาทา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ (ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการพูดเท็จ คำไม่เป็นจริง และคำล่อลวง อำพรางผู้อื่น)

ข้อสี่มีสัจจะ กล่าววาทะมีเหตุผล 

ไม่ลวงประชาชน ด้วยเล่ห์กลมายากาล 

พูดเพราะเสนาะโสต มีประโยชน์ทุกคำขาน 

ไม่พูดเพื่อประจาน ให้ชาวบ้านเกลียดชังใคร 

จิตใจบริสุทธิ์ ทุกคำพูดเปล่งออกไป

สร้างความบันเทิงใจ ให้คนได้ลิ้มรสธรรม 

พูดดีมีสัจจะ เป็นสาระควรจดจำ 

พูดด้วยเมตตาธรรม ทุกถ้อยคำเป็นกุศล 

บันดาลสามัคคี ให้เกิดมีในชุมชน 

ดังนั้นควรทุกคน พูดจากันด้วยไมตรี 

พูดจริงอิงประโยชน์ ไพเราะโสตพูดพอดี 

พูดกันเป็นอย่างนี้ ฟังแล้วมีแต่ชื่นใจ

 

ศีลข้อ 5 สุราเมระยะ มัชชะปะมา ทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ

(ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการดื่มสุรา เมรัย เครื่องดองของทำใจให้คลั่งไคล้ต่างๆ)

สุดท้ายข้อที่ห้า คือ สุราและเมรัย 

ดื่มแล้วเมาหลงใหล ไร้สติรักษาตน 

อาจทำกรรมชั่วช้า ใจเหิมกล้าไร้เหตุผล 

หน้าด้านไม่อายคน อกุศลไม่กลัวเกรง 

อาจฆ่าใครก็ได้ อาจทำร้ายแม้ตัวเอง 

โทษความเป็นนักเลง ดื่มสุรามีมากมาย 

ข้อหนึ่งต้องเสียทรัพย์ อาจถึงกลับล้มละลาย

ข้อสองมิตรสหาย อาจวุ่นวายวิวาทกัน

ข้อสามพิษสุรา ก่อโรคาอเนกอนันต์ 

บั่นทอนอายุสั้น ตายก่อนกาลอันควรตาย

ข้อสี่ชื่อเสียงดับ เกียรติศัพท์ถูกทำลาย

ข้อห้าหมดยางอาย ข้อหกทำลายภูมิปัญญา


สังคมที่เราอยู่ จะเลิศหรูและสุขสันต์      

เหมือนอยู่เมืองสวรรค์ ต้องเชื่อมั่นหลักศีลธรรม                      

ทุกคนต้องศรัทธา ถือศีล 5 เป็นประจำ 

สวดมนต์ทุกเช้าค่ำ ประพฤติตามคำพระสอน 

สังคมสุขสมคิด สุขสถิตสถาพร              

สันติภาพอยู่ถาวร ประชากรสุขทั่วกัน 


เข้าพรรษาปีนี้ ขอให้ตั้งจิตสร้างบุญบารมีให้กับตัวเอง ให้กับสังคมกันให้เต็มที่ ตั้งอธิษฐานจิตไว้ สั่งสมความดีไปเรื่อยๆ ความดีมากขึ้นก็จะทำให้ชีวิตของเรา มีคุณค่ามีความสุขเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ขอเชิญชวน เข้าพรรษาพยายามตั้งใจสร้างคุณงามความดี ตามหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนไว้ 


 พระธรรมเทศนาพระเดชพระคุณพระธรรมพุทธิมงคล (หลวงพ่อสะอิ้ง)

เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี

พระมหาเถระปราชญ์แห่งเมืองสุพรรณ


ท้ายที่สุดนี้  โลกจักร่มเย็นเป็นสุขโดยถ้วนหน้า สันติภาพโลกจะบังเกิดขึ้นแบบง่าย ๆ เมื่อทุกคนบนโลกใบนี้ร่วมใจกันรักษาศีล 5 เป็นปกติ เป็นกฎกติกาสากล  



และขอถือโอกาสแจ้งข่าวดีข่าวอันเป็นมงคล เนื่องจากวันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พุทธศักราช 2563 นี้ เป็นวันธรรมชัย เป็นวันเกิดโดยธรรมหลวงพ่อธัมมชโยครบ 51 พรรษา เรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลกและผู้มีบุญทุกท่าน ร่วมสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรให้ได้ 2,627,082,512 จบ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และบูชาธรรมหลวงพ่อธัมมชโย ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของศิษย์ดี ความสุขสวัสดิมงคลจะเกิดแก่ทุกท่าน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ สาธุค่ะ.


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์บลอค :

พระธรรมเทศนาโดยพระเดชพระคุณพระธรรมพุทธิมงคล(หลวงพ่อสะอิ้ง) เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี พระมหาเถระปราชญ์เมืองสุพรรณ

ลิงก์สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สวดเสร็จช่วยกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน

ภาพประกอบ


วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เราจะพัฒนาตนเองให้เกิดศักยภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างไร ?

ถาม เราจะพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างไร ?


ตอบ 

มนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ต่างก็ประสบกับชะตากรรมเหมือนกัน คือต้องประสบทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพราก และทุกข์นานาประการร่วมกัน


การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล


การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่ของชาวพุทธที่จะช่วยกันจรรโลงรักษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปสู่ใจชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งผองให้พวกเขาได้อาศัยธรรมะเป็นที่พึ่งที่ระลึกเป็นที่เกาะเกี่ยวของใจและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้อยู่ในครรลองที่ก่อประโยชน์สุขให้แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่ก่อทุกข์ ไม่ก่อบาป เป็นหนทางที่จะสลัดตนออกจากกองทุกข์ เข้าถึงบรมสุขคือนิพพานในภพชาติสุดท้ายได้ในที่สุด


ถ้าเราช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างนี้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการจรรโลงโลกไว้ให้เป็นสถานที่ที่มนุษย์มีโอกาสสร้างความสุขความเจริญให้แก่ชีวิตตนต่อไปได้


การเผยแผ่พระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น คือการที่พุทธบริษัททั้ง 4 ได้ดำเนินตามรอยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ คือ มีพระพุทธประสงค์ให้พุทธสาวกประกาศพระศาสนาออกไปเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย เพราะผู้มีธุลีน้อยในดวงตา (กิเลสเบาบาง) ยังมีอยู่เมื่อได้ฟังพระสัทธรรมแล้วจะสามารถเข้าใจตามทันได้


ชาวพุทธทุกคนเมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว ควรจะทำหน้าที่เป็นนักเผยแผ่ต่อไปด้วยถ้าได้ฝึกฝนฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมให้ดีก็จะทำหน้าที่ในด้านการเผยแผ่นี้ได้อย่างมีคุณภาพ และที่สำคัญเป็นการสั่งสมบุญใหญ่ของตนเอาไว้ จะได้บุญมาก เป็นบุญละเอียดบุญประณีต ในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาแต่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะได้ผลดีเพียงใดนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ “คุณภาพของนักเผยแผ่” ด้วย 

คุณสมบัติขั้นพื้นฐานของนักเผยแผ่ที่ดีมีอยู่ 3 ประการ

1.มีความรับผิดชอบตัวเอง

2.มีทักษะด้านภาษา

3.มีจินตมยปัญญา



1.มีความรับผิดชอบตัวเอง (ต่อการทำความดีสากล)


บทฝึก UG5 ความดีพื้นฐานสากลทั้ง 5 ประการ เป็นความรู้และความดีเบื้องต้น ที่ผู้ใดฝึกฝนทำให้ได้เป็นประจำแล้ว จะช่วยให้ผู้นั้นเกิดความเข้าใจในธรรมะที่ลึกซึ้งละเอียดลออต่อไปในภายหลัง



บทฝึก UG 5 ความดีพื้นฐานสากล 5 ประการ


บทฝึก UG5 ความดีพื้นฐานสากล 5 ประการนั้น คือ 

1.ความสะอาด 

2.ระเบียบ 

3.สุภาพนุ่มนวล

4.ตรงเวลา 

5.จิตตั้งมั่นมีสมาธิ 


ความรับผิดชอบต่อความดีสากลหมายถึง มีความพากเพียรตั้งใจทำความดีสากลซึ่งเป็นความดีเบื้องต้นให้เป็นนิสัย โดยการทำความดีนั้นให้เจริญไปตามลำดับใน 4 ลักษณะคือ


1.ปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างชำนาญ

2.ชักชวนผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม

3.ทบทวนแล้วปลื้มใจ พอใจในความดีที่ได้ทำไว้ เพราะสิ่งที่ได้ทำไว้นั้นทำเพื่อจะสั่งสมบุญ

4.สรรเสริญคุณค่าความดีที่ทำนั้นให้ปรากฏ เพื่อว่าผู้ที่มีปัญญาได้ฟังแล้วจะได้นำความดีนั้นไปเผยแผ่ให้ขยายกว้างออกไป


เมื่อตัวเราทำความดีเบื้องต้นเป็นเองแล้วทำได้ดีในระดับมาตรฐานด้วยแล้ว จากนั้นจึงค่อยไปเชิญชวนผู้อื่น เราจึงจะมีความน่าเชื่อถือมากพอที่ผู้อื่นจะรับฟัง และมีใจยินดีเข้ามาศึกษาธรรมและปฏิบัติตาม นี้คือความสัมพันธ์ของบทฝึก UG 5 ความดีพื้นฐานสากล 5 ประการ ที่มีผลต่อการเพิ่มศักยภาพในการเผยแผ่ธรรมะอย่างเป็นรูปธรรม


ตัวอย่างเช่น ความดีสากลประการแรกได้แก่ ความสะอาด ความสะอาดเป็นรากฐานของความดีทุกชนิด


จะเขียนหนังสือให้ได้ดี กระดาษต้องสะอาด จะวาดรูปให้ได้ดี ผ้าใบหรือกระดาษที่นำมาให้เราวาดก็ต้องสะอาด


จะหุงข้าวให้ได้ดี หม้อที่หุงก็ต้องสะอาดข้าวที่จะนำมาหุงก็ต้องซาวแล้วซาวอีกให้สะอาดแม้ชาวไร่ชาวนาจะทำไร่ทำนาให้ได้ดี เขาก็ต้องทำความสะอาดไร่นาของเขาก่อน คือ ต้องถางหญ้าถางป่าให้เรียบร้อย นั้นก็เป็นการทำความสะอาดไร่นา


คนจะทำความดีใด ๆ จึงต้องเริ่มต้นจากการทำความสะอาดและความสะอาดขั้นต้นที่จะต้องทำก็คือ การทำความสะอาดตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดฝ่าเท้าจากนั้น ก็ทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ


เมื่อคนจะทำความดีต้องเริ่มต้นจากการทำความสะอาด การจะทำให้คนมีความซาบซึ้งในธรรมะตั้งแต่เล็ก ก็ต้องฝึกให้ทำความสะอาดตัวเองเป็นตั้งแต่เล็ก ลูกหลานชาวพุทธจึงควรจะได้ฝึกให้รักความสะอาดและทำความสะอาดเป็น เพราะการทำความสะอาดเป็นการทำงานพื้นฐานของชีวิต การทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะบ่มเพาะคุณธรรมอื่น ๆ ให้งอกงามขึ้นมาได้


เมื่อลูกหลานทำความสะอาดเป็นแล้ว ก็ต้องฝึกจัดระเบียบให้เป็น มีข้าวของเครื่องใช้ เช่น ตุ๊กตา ของเล่น ก็ต้องจัดระเบียบให้เป็นดินสอ ปากกา รองเท้าที่ใส่ หรือถ้วยจานช้อนที่ใช้รับประทานอาหารอยู่เป็นประจำ ก็ต้องให้เด็กฝึกหัดทำความสะอาดและจัดเก็บให้เป็นระเบียบ


นอกจากทำความสะอาด จัดระเบียบแล้วต้องฝึกลูกหลานให้สุภาพกับทุกคนด้วย และฝึกเรื่องเวลา คือ ทำกิจกรรมให้ตรงเวลาด้วย เช่น ถึงเวลาก็มาสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิพร้อมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นความดีสากล เป็นความดีขั้นต้นที่จะเป็นพื้นฐานทำให้เข้าถึงธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้


ถ้าบทฝึก UG5 ความดีพื้นฐานสากล 5 ประการนี้ ยังทำได้ไม่ดี ก็ยากที่จะเข้าใจธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเมื่อเป็นอย่างนั้น หากเขาได้ความรู้ความดีอะไร ก็ยากที่เขาจะมีน้ำใจคิดถึงและเอื้อเฟื้อแบ่งปันคนอื่น เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่นักเผยแผ่จะต้องฝึกทำให้ได้ดีก็คือ ฝึกตนให้มีความรับผิดชอบต่อการทำความดีพื้นฐานสากล 5 ประการ


2.มีทักษะด้านภาษา


ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างมนุษย์ การที่จะสื่อสารกันให้เข้าใจ และรับการถ่ายทอดสารจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง ความสามารถทางภาษาเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน หรือเขียนก็ตาม และทักษะทางด้านภาษาเป็นสิ่งที่เรียนรู้ฝึกฝนกันได้ และจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนอยู่เสมอ หากฝึกเรื่อย ๆ ความเชี่ยวชาญจะเจริญขึ้นตามวัยและตามประสบการณ์ของผู้ฝึก


ทักษะด้านภาษาสำหรับนักเผยแผ่


1.ฟังแล้วจับประเด็นได้

2.พูดได้เนื้อหาชัดเจนและออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธี

3.อ่านในใจและอ่านออกเสียงได้ชัดเจน

4.เขียนได้ถูกอักขรวิธี เขียนได้ตรงประเด็น เรียงความ ย่อความได้


การเป็นนักเผยแผ่ที่ดีนั้น เมื่อจะชวนเขามาทำความดี จึงต้องพูดจาสื่อสารให้รู้เรื่อง เมื่อจะฟังก็ต้องฟังรู้เรื่อง คือ จับใจความจับประเด็นในเรื่องที่ฟังได้


เมื่อจะอ่านก็อ่านเป็นทั้งอ่านในใจและอ่านออกเสียง สะกดคำได้ถูกต้อง อ่านแล้วสามารถเข้าใจเรื่องราวที่อ่าน จับใจความได้ถูกต้อง แม่นยำ     


เมื่อจะพูดก็พูดออกเสียงได้ถูกอักขรวิธีพูดให้ชัดเจน มีประเด็นในเรื่องที่พูดการพูดที่เตรียมประเด็นไว้ดี เช่น อานิสงส์ผลบุญในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างไร


ในเวลาที่ไปชวนใครเขามาทำความดี การพูด ไปตามลำดับประเด็นช่วยให้เขาเข้าใจง่าย และจำได้ง่าย


การนำสิ่งเหล่านั้นมาพูด ทีแรกอาจจะเข้าใจได้ไม่ลึก แต่เมื่อพูดไปซ้ำ ๆ เดี๋ยวก็เข้าใจลึกซึ้งได้ ก็เหมือนกับธรรมที่หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่นำมาสอนพวกเราซ้ำ ๆ อยู่ทุกวันทุกเดือน ทุกปี ถึงวันหนึ่งเราก็ยังสามารถเข้าใจลึกซึ้งตามท่านได้ แล้วมาร่วมสร้างบารมีกัน


เมื่อจะเขียนก็ฝึกเขียนเรียงความให้เป็น เขียนให้เป็น คืออ่านแล้วสามารถเข้าใจได้อย่างแรกเขียนเพื่อให้เราได้ทบทวนความดีที่ได้ทำมา เขียนเองอ่านเองให้ปลื้มใจ จะได้เป็นการทบทวนบุญของเราด้วย


ในการฝึกการเขียนเรียงความนั้น เรามีบทฝึกอยู่แล้วตามที่คุณครูไม่ใหญ่ให้เขียน บันทึกผลการปฏิบัติธรรมทุกวัน เท่ากับเป็นการฝึกเขียนเรียงความ ในบันทึกแต่ละคืนจะให้เขียนเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งวัน อย่างไรก็คงเขียนได้ไม่หมด ฉะนั้นจะเขียนให้ครอบคลุมเราต้องย่อความให้กะทัดรัดชัดเจน


ฝึกทำไปดังนี้ กว่าจะเขียนได้เราก็ได้ฝึกจับประเด็น เรียงความให้เป็น ย่อความให้เป็นบทฝึกเหล่านี้พัฒนากระบวน การคิด การจำ  การรับรู้ของเราไปในตัว ฝึกไปเรื่อย ๆ ต่อไป


จะสามารถเป็นนักเผยแผ่ที่ดี เวลาไปชวนใครทำความดี ก็จะสามารถให้ความรู้เขาเป็นประเด็น ๆ เขาก็จะเข้าใจ รับได้ เวลาชวนเขามาบวช เขาก็จะมาตามคำชวน วาจาของเราก็จะศักดิ์สิทธิ์เพราะได้ทำถูกหลักวิชา

 

3.มีจินตมยปัญญา


เมื่อศึกษาฟังธรรมแล้วจดจำธรรมนั้นได้นำมาทบทวน ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ และเกิดความเข้าใจ สรุปความได้ตรงประเด็น สามารถคิดแยกแยะความแตกต่างระหว่างผิดกับถูกดีกับชั่ว ประโยชน์กับมิใช่ประโยชน์


มองเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการทำความดี ทั้งประโยชน์ที่เกิดกับตนเอง ครอบครัวหมู่คณะ ประเทศชาติ และประโยชน์ที่เกิดกับโลกนี้


การที่จะฝึกได้ดีต้องจำหลักไว้ว่า น้ำขุ่น ๆ กุ้ง หอย ปู ปลา ที่อยู่ในน้ำมีเท่าไรก็มองไม่เห็นเพชรนิลจินดาอยู่ในโอ่งน้ำ ในสระน้ำเท่าไร ๆ ก็มองไม่เห็น แต่ถ้าน้ำใส ๆ กุ้ง หอย ปู ปลามีมากเท่าไร ตัวเล็กตัวโตก็เห็นชัด เพชรนิลจินดาก็เห็นชัด


ใจใส ๆ จะเห็นชัด ผิด-ชอบ ชั่ว-ดี แยกออก เห็นชัด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ มีคุณ มีโทษ มากน้อยเท่าไรเห็นชัด

ฉะนั้น ฝึกใจกันให้ดี หัดประคองใจให้กลับมาอยู่ในตัวให้ได้ทั้งวัน ฝึกใจให้หยุดให้นิ่งเป็นสมาธิให้สม่ำเสมอทุกวัน เมื่อใจนิ่งดีแล้วใสดีแล้ว จะมองอะไรได้ออก มองอะไรได้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงอานิสงส์ของนักเผยแผ่


ด้วยบุญที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยประการต่าง ๆ นี้ จะมีอานิสงส์ให้เราเกิดไปกี่ชาติ ๆ มีความรู้ความดีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้แล้วเรายังไม่รู้ ด้วยอานิสงส์ที่เราได้ไปชวนคนทำความดีเป็น นักเผยแผ่นี้ ก็จะมีผู้มีบุญทั้งหลายเอาความรู้ความดีมาแจกเรา หรือมาชวนเราไปร่วมทำความดีด้วย นี้เป็นประโยชน์ส่วนตัวที่เราจะพึงได้จากการเป็นนักเผยแผ่


ประโยชน์ส่วนรวม เมื่อเราตั้งใจทำอย่างนี้ มีความรู้ความดีอะไรก็แจกไป ไม่หวงความรู้ความดีนั้นก็จะแพร่กระจายไปทั่วบ้านทั่วเมือง ความสมัครสมานสามัคคีก็จะเกิดขึ้น ความร่วมไม้ร่วมมือกันในบ้านในเมือง ที่จะประกอบคุณงามความดีกันต่อไป ให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ก็จะเกิดขึ้น


แล้วจากการที่ฝึกตัวเองเป็นนักเผยแผ่จากการไปชวนคนมาบวช เป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธศาสนายังคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่าใด ในฐานะที่เรามีส่วนในการเผยแผ่ มีส่วนในการทำให้พระพุทธศาสนาอายุยืน เกิดไปกี่ภพกี่ชาติ อายุเราก็ยืน ความรู้ความดีที่เราศึกษามาได้ ก็จะตรึงตราอยู่ในตัวและในใจของเรายากจะลืมเลือน และมหาชนก็จะไม่ลืมเลือนความรู้ความดี ที่เราได้เผยแผ่แจกจ่ายให้เขาไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครที่พูดถึงความดีกับเราครั้งใด เราก็เพิ่มความปลื้มใจให้แก่ตัวเองครั้งนั้น ปลื้มใจกันทั้งสองฝ่ายบุญใส ๆ ก็เพิ่มขึ้นทับทวี


การเป็นนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา การทำหน้าที่ชาวพุทธที่แท้จริง จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา จรรโลงโลกใบนี้ให้สงบร่มเย็นมีสันติภาพ เหมาะกับเป็นสถานที่เพิ่มพูนโอกาสในการสร้างความดีและความเจริญแก่มนุษยชาติได้อย่างนี้เอง



พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว
หลวงพ่อตอบปัญหา

ท้ายที่สุดนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อไปเป็นที่พึ่งที่ระลึกแก่ชาวโลกได้ บุคคลผู้ไปเผยแผ่จะต้องเป็นผู้มีศักยภาพสามารถฝึกตนถึงพร้อมด้วยประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ตามแนวทางคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดังพุทธศาสนสุภาษิตความว่า

โย  จ  สีลญฺจ  ปญฺญญฺจ     สุตญฺจตฺตนิ  ปสฺสติ
อุภินฺนมตฺถํ  จรติ               อตฺตโน  จ  ปรสฺส  จ.

ผู้ใดเห็นศีล  ปัญญา  และสุตะ  ในตน,  ผู้นั้นย่อมประพฤติ
ประโยชน์ตนและผู้อื่นทั้ง 2 ฝ่าย.

ที่มา : ขุททกนิกาย ชาดก สัตตกนิบาต (ขุ. ชา. สตฺตก.)


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :
ภาพประกอบ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หลักในการดำเนินชีวิตที่ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนวิธีสร้างสรรค์สังคม ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขไว้อย่างไร?

 

สมเด็จพระบรมศาสดาทรงให้หลักที่พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้มั่นคงเอาไว้ และหลักนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเอามาใช้ในการสร้างสรรค์สังคมให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราร่มเย็นเป็นสุขด้วยแต่ก่อนจะสร้างสรรค์สังคม เราต้องเข้าใจหลักการสำคัญก่อนว่า ใจของคนเป็นอย่างไร สังคมก็เป็นอย่างนั้น ใจขุ่นมัว สังคมก็ขุ่นมัว ใจใสสะอาด สังคมก็ร่มเย็น

 

พิษร้ายของความสกปรกขุ่นมัว มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อน้ำขุ่นมัว ไม่ใส บุคคลย่อมไม่แลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด ก้อนทราย ฝูงปลา ฉันใดเมื่อจิตใจของคนเราขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ฉันนั้น

 

อานุภาพของความใสสะอาดก็มีกล่าวไว้เช่นกัน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อน้ำ  ไม่ขุ่นมัว ใสบริสุทธิ์ บุคคลย่อมแลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด ก้อนทราย และฝูงปลาฉันใด เมื่อจิตใจไม่ขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมเห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านชัดเจน ฉันนั้น

 


การปฏิบัติธรรมมีผลทำให้ใจทุกคนใสมีความเห็นตรงกัน

ถ้าแต่ละคนในบ้านในเมืองใจใส ก็จะเห็นประโยชน์ของตัวเอง เห็นประโยชน์ของหมู่คณะเห็นประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ว่ากี่ฝ่ายก็จะเห็นตรงกันว่า ประเทศชาติบ้านเมืองจะก้าวหน้า วัดวาอาราม พระศาสนาจะก้าวหน้า จะต้องทำอย่างไรบ้าง

 

พอใจใสแล้วจะเห็นตรงกัน เหมือนกับในยามเที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์สว่างไสวอยู่กลางท้องฟ้าอะไรต่อมิอะไรก็จะปรากฏชัดเจนเห็นตรงกัน ถ้าใจของคนเราใสแล้ว ดี-ชั่ว ผิด-ถูก ควร-ไม่ควรก็จะเห็นตรงกัน

 

ในปัจจุบันแม้ในบ้าน ในครอบครัว การที่จะคำนึงถึง เอาใจเขาใส่ใจเรา เอาใจเราใส่ใจเขากับคนในครอบครัวก็หายกันไปมาก ทำให้ใจของคนในครอบครัวไม่ใสเท่าที่ควรจะเป็น

 

ปัจจุบันสังคมใหม่เกิดขึ้นมากมาย เป็นสังคมที่แม้แต่บ้านติดกันก็ไม่ค่อยจะรู้จักกัน เพราะว่าต่างก็อพยพมา ย้ายถิ่นมาทำมาหากินกันอยู่ในตัวเมือง ความใกล้ชิดประสาบ้านใกล้เรือนเคียงความเป็นญาติ ความกล้าเตือนกันดั่งในอดีตที่สังคมเป็นสังคมญาติพี่น้อง ที่คนส่วนใหญ่มาจากตระกูลเดียวกันก็หมดไป มีแต่การกระทบกระทั่งกัน มีความระแวงซึ่งกันและกันเข้ามาแทนที่ถ้าปล่อยให้สภาพอย่างนี้เป็นต่อไป โลกคงขาดความน่าอยู่

 

สำหรับการสร้างสรรค์สังคมที่ดีให้เกิดขึ้นและดำรงคงอยู่นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ 4 ขั้นตอน ดังนี้

 

ประการที่ 1 ฝึกใจให้ผ่องใสเป็นกิจวัตร

ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องเตือนตัวเองให้รู้จักทำใจให้ผ่องใสอยู่เป็นประจำ     

 

ประการที่ 2 ขยันสร้างมิตรภาพ ขยันสร้างเครือข่ายคนดี

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องสร้างมิตรภาพเอาไว้ให้เต็มที่ เวลาทำความดีจะได้ไม่โดดเดี่ยวลำพังไปอยู่ในถิ่นไหนให้ตระเวนหากันเลยทีเดียวว่า ในย่านนั้นบุคคลที่น่าเคารพที่น่าเชื่อถือมีใครบ้าง

 

ตัวอย่างเช่น

1) ใครมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ       

2) ใครมีศรัทธา ใครมีศีล ใครมีจาคะ มีความเสียสละเห็นแก่ส่วนรวม

3) ใครมีปัญญา ศึกษาธรรมะมาดีพอ

 

ให้ไปสร้างสัมพันธไมตรีกับเขาเหล่านั้นเอาไว้ให้ดี แม้ไม่รู้จักก็ต้องรีบไปทำความรู้จัก เพื่อว่าจะได้รวมคนดีเอาไว้ เรามีดีอะไรก็จะได้แบ่งปันให้เขา เขามีดีอะไรก็จะได้ขอเอามาเป็นต้นแบบในการสร้างบารมีของเราด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้คนดีก็จะได้คบหากัน อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นปึกแผ่นขึ้นมา

 

ไม่ว่าคนดีเหล่านั้นจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อายุมากกว่า หรืออายุน้อยกว่าเรา ขอให้เป็นคนดี คนที่มีใจผ่องใสอยู่เป็นประจำ ให้ไปคบค้าสมาคม แล้วก็ไปรวมพวกเอาไว้ให้ดีแม้ในการประกอบอาชีพตั้งหลักตั้งฐาน พระพุทธองค์ก็ทรงสอนว่า

1. ให้ขยันหาทรัพย์

2. ให้ขยันเก็บรักษาทรัพย์

3. ให้ขยันคบคนดี

4. ให้ใช้ทรัพย์อย่างผู้รู้ประมาณ โดยแบ่งทรัพย์มาหนึ่งในสี่ ให้เอาไว้เป็นงบประมาณในการผูกมิตร ในการคบคนดี เพื่อรักษาคนดีใจใส ๆ เป็นพรรคเป็นพวกกันไว้

 

สิ่งที่พระองค์ทรงให้ไว้ตรงนี้ ไม่ได้เป็นแค่การบุญการกุศลเท่านั้น แต่นี้เป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาด้วย

   

ถ้าคนดีรวมกันติด จะสามารถรวมพวกที่เป็นกลาง ๆ ได้ แล้วจะเป็นที่เกรงใจของคนที่ไม่เข้าท่าไม่เข้าทาง เช่นนี้คนดีก็สามารถจะควบคุมบรรยากาศโดยรวม ทำให้สังคมยังเป็นสังคมแห่งการทำความดีอยู่ได้

 

การที่เราชวนคนมาทำความดี การที่เราชวนคนมาตักบาตร การชวนคนมาโปรยกลีบดอกดาวรวย (ดอกดาวเรือง) ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นั่นเป็นการทำบุญให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล เพราะถึงแม้เขาไม่ได้มาร่วมโปรยกลีบดอกดาวรวยกับเรา แต่สำนึกของความรับผิดชอบได้ไปสู่สายตาประชาชน แล้วก็พร้อมที่จะทำสิ่งที่ดีงามอีกต่อไป

 

การที่เราตักบาตรเพื่อที่จะไปช่วยดูแลภาคใต้มาหลายปี รวมพระสงฆ์มาตักบาตรทีละหมื่นสองหมื่น สามหมื่นรูป สะสมต่อเนื่องกันทั้งปีหลาย ๆ ปีมานี้ เราจึงช่วยกันรักษาแผ่นดิน 4 จังหวัดภาคใต้เอาไว้ได้เลยเป็นผลให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ชาวพุทธที่จะทำอะไรที่ดีงามต่าง ๆ ขึ้นมาอีกมาก นั่นเป็นผลกระทบในสิ่งที่ดีที่งามทั้งนั้น

 

สิ่งเหล่านี้ปู่ย่าตาทวดของเราศึกษาและเข้าใจเป็นอย่างดี ในอดีตคนไทยก็มีไม่มากแต่สร้างวัดไว้เต็มแผ่นดินไทย เดี๋ยวนี้คนไทยเพิ่มขึ้นมา 70 ล้านคน ปีหนึ่ง ๆ มีวัดสร้างเพิ่มขึ้นไม่กี่วัด แต่ว่ามีวัดร้างเพิ่มขึ้นมาก บ่งบอกว่าประชาชนจำนวนมากขึ้นก็จริง แต่ไม่มีการรวมเอาคนใจใส ๆ มาไว้ด้วยกัน เพราะฉะนั้นแม้มีประชากรมาก ก็ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาไม่ค่อยจะได้

 

หลวงพ่ออยากจะเห็นเหมือนกัน อยากเห็นคนไทยที่ไม่ต้องรู้จักกันหรอก แต่คิดจะทำบุญร่วมกัน ออกมาอยู่กลางถนนให้เต็ม แล้วก็สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรพร้อม ๆ กันทั้งแผ่นดินไทยคงเข้าท่าดีเหมือนกัน การที่คนเรามาสวดมนต์พร้อม ๆ กัน หรือมานั่งสมาธิพร้อม ๆ กันจำนวนมาก เป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้านขึ้นไป อย่าว่าแต่มนุษย์เลย เทวดาก็ต้องหยุดฟังด้วย จะทำอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีงามแล้ว เราไม่ควรกระมิดกระเมี้ยน ควรชักชวนกันมาให้เต็มที่ นั่นเป็นการประพฤติปฏิบัติของนักปราชญ์บัณฑิตหรือชาวพุทธ

 

ประการที่ 3 เมื่อทำดีแล้วก็ปลื้มใจ ยิ่งได้นึกถึงก่อนนอนยิ่งดี

เวลาจะนึกถึงความดี ให้เราวางใจนิ่ง ๆ อยู่กลางกายจนกระทั่งคุ้น เมื่อคุ้นแล้วเดี๋ยวใจก็ใสพอใจใส บุญที่ทำเอาไว้เท่าไร ๆ จะค่อย ๆ ผุดขึ้นมาเอง ใครที่นึกถึงบุญไม่ค่อยจะออก ปลื้มไม่ค่อยจะเป็น แสดงว่านั่งสมาธิน้อยไป ในขณะที่บางคนเขาฝึกมาดี ยังไม่ทันนั่ง ใจเขาก็ใสแล้วคนที่ฝึกมาดีแล้วเขามีอยู่ ฉะนั้นในการนั่งสมาธิอย่าเอาปริมาณเวลาเป็นหลัก เอาว่าใจใสได้นานต่อเนื่องแล้วหรือยังเป็นหลัก ถ้าใจยังไม่ใสก็นั่งสมาธิต่อไป ฝึกให้คุ้นกับความใจใส

 

#การมีวาจาสุภาษิต

ประการที่ 4 กล่าวเชิญชวนยกย่องสรรเสริญให้กำลังใจคนที่ทำความดี

ประการนี้ยิ่งสำคัญ ต้องหัดให้เป็นนิสัยถ้าใครแม้ใจใสมาระดับหนึ่งแล้วเพราะทำดีมาตลอด แต่แค่การให้กำลังใจคน การให้เกียรติคนยังไม่สามารถทำได้ นั่นก็บ่งบอกว่าเรายังจัดระเบียบคำพูดไม่ค่อยลงตัว ที่จัดระเบียบคำพูดไม่ลงตัว ก็เพราะว่าระเบียบความคิดของเรายังไม่ลงตัว ที่จัดระเบียบความคิดของเราไม่ลงตัว เพราะข้าวของในบ้านของเราก็ยังจัดไม่ลงตัว สาเหตุที่เรายังจัดของที่บ้านไม่ได้ เพราะบ้านสะอาดไม่พอ บางบ้านสะอาดพอ แต่ที่สะอาดเป็นฝีมือคนรับใช้ไม่ใช่ตัวเองทำ ถ้าตัวเองไปทำก็ทำได้ไม่สะอาดอย่างนั้น

 

การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถชวนคนไปทำความดี หรือใครทำความดีก็เชียร์เขาได้เต็มที่ คนนั้นจะต้องผ่านการจัดระเบียบข้าวของที่บ้าน ผ่านการทำความสะอาดที่บ้านของตัวเองมาได้ดีทีเดียว ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้ อาจจะดูว่าแปลก แต่ขอเชิญลองไปทำดูด้วยตัวเองแล้ว จะเข้าใจเหตุกับผลนี้ได้เอง

 

วันนี้ ในบ้านเมืองของเรานี้ คนที่มีความสามารถที่จะชี้ผิด ชี้ถูก ชี้ดี ชี้ชั่ว ได้ชัดเจนหาได้ยาก อาจจะเป็นเพราะ

1. เขาอาจจะรู้แยกแยะดี-ชั่ว ผิด-ถูก แต่เขาไม่เคยชวนคนอื่น

 

2. เขาเคยชวนคนอื่น แต่ไม่เคยเชียร์ใครให้ทำความดี เพราะฉะนั้นก็เลยพากันนิ่ง เลยรวมคนดีไม่ค่อยจะได้ ต่างคนต่างอยู่ เมื่อต่างคนต่างอยู่ ประเทศชาติ พระศาสนาคงเดินหน้าไม่ได้

 

ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะสร้างสรรค์สังคมให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยมือของเรา ต่อแต่นี้ไปตั้งใจฝึกตัวเองให้ใจใส ตั้งเป้าหมายต่อสังคมไว้ว่า หากเราไปอยู่ที่ไหนจะต้องรวมคนดีมีศีลมีธรรมไว้ให้เป็นปึกแผ่น ในชุมชนในสังคมของเรา เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้า 


โดยเริ่มจากตัวเราเองฝึกตัวเองให้ดีแล้วไปชักชวนคนอื่น เมื่อทำแล้วก็ปลื้ม ใจจะได้ฟู เมื่อใจฟูแล้วก็เกิดพลังใจ พลังคำพูด คำสรรเสริญ ทั้งชวน-ชม-เชียร์คนทำความดีกันได้ถ้วนทั่วทุกหนแห่ง ที่เราไปอยู่อาศัยแล้วคนดี ๆ ก็จะรวมกลุ่มกันติด แล้วกลายเป็นกลุ่มก้อน เป็นเครือข่าย เป็นสังคมที่ดีขึ้นมาได้สำเร็จเอง  


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว

หลวงพ่อตอบปัญหา


ท้ายที่สุดนี้ สังคมทุกวันนี้จะอยู่ยากหรืออยู่ง่าย ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองรักที่จะฝึกตัวให้เป็นคนดีที่โลกต้องการหรือไม่ เพียงเราฝึกฝนตนเองตามพุทธวิธี ที่หลวงพ่อเมตตาให้โอวาทสรุปได้ดังกล่าวข้างต้น คือให้เป็นผู้มีความสะอาด สุภาพ นุ่มนวล ตรงต่อเวลา และมีสมาธิตั้งมั่น เท่านี้เองเราก็สามารถทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขด้วยสองมือน้อยๆของเราแล้ว 

เรียนเชิญทุกท่านนั่งสมาธิตามคลิปวีดีโอนี้กันได้เลย สาธุค่ะ


คลิปนั่งสมาธิ #สัมมาอะระหัง 500 คำ

กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว

ลิงก์นำนั่งสมาธิ

ภาพประกอบ  


 

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2563

บารมี 10 ทัศ...แนวทางดำเนินชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ?

 

 

พระภิกษุสงฆ์ในฐานะพุทธสาวกก็ได้ศึกษา และปฏิบัติตามพระบรมครูเพื่อเป้าหมายเดียวกันนั้นคือ วันหนึ่งจะได้เข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้บ้าง จะได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ อันเกิดจากสามารถปราบมารปหานกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษเข้าถึงความสุขอันเป็นบรมสุขคือ พระนิพพาน

 

www.dmc.tv

พระภิกษุสงฆ์เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วก็ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา นำพระธรรมคำสอนของพระศาสดามาถ่ายทอด แผ่ขยายให้สาธุชนได้ศึกษาและปฏิบัติตามรอยบาทของพระบรมศาสดา ผู้เป็นต้นบุญต้นแบบของการสร้างบารมี 10 ทัศ ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์

 

ดังนั้น หากจะตั้งคำถามอย่างเป็นกลาง ๆ ขึ้นก่อนว่า แนวทางดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาคืออะไร ก็ต้องตอบว่า การสร้างบารมี 10 ทัศคือ แนวทางคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยการฝึกฝนอบรมตนเอง และดำเนินชีวิตมาตามแนวทางการสร้างบารมี 10 ทัศนั้นเอง


เหตุผลที่วัดเลือกบารมี 10 ทัศ มาเป็นหลักคำสอนก็เพราะว่า บารมี 10 ทัศ เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งปวง เริ่มตั้งแต่สมัยที่เป็นมนุษย์ธรรมดา แล้วสั่งสมบุญกุศลเรื่อยมาในแต่ละภพชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จนกระทั่งบารมีเต็มเปี่ยมได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ ตามที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้ด้วยดีทุกประการ

 

บารมี 10 ทัศ ประกอบด้วยการฝึกฝนทำความดี 10 ประการอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกลายเป็นนิสัย เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความดี ได้แก่ 

1. ทานบารมี 

2. ศีลบารมี 

3. เนกขัมมบารมี 

4. ปัญญาบารมี 

5. วิริยบารมี 

6. ขันติบารมี 

7. สัจจบารมี 

8. อธิษฐานบารมี 

9. เมตตาบารมี 

10. อุเบกขาบารมี

 

ในการบำเพ็ญบารมีนั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องทำจริง หมายความว่าไม่ใช่ทำแค่ครั้งสองครั้ง ทำไม่กี่ครั้งในรอบปี หรือทำเพียงไม่กี่ครั้งในชาติหนึ่ง แต่การสร้างบารมี คือ การตั้งใจมั่นทำความดีตลอดชีวิต ไม่มีทางเปลี่ยนใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ก็ยังมั่นคงมุ่งตรงต่อความดี มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

 

คุณสมบัตินักสร้างบารมี คือ เป็นผู้มีใจตรง เป็นคนจริง เป็นคนตรงเยี่ยงนี้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นนักเรียนนักศึกษา เป็นแม่บ้าน คนทำงาน เป็นเศรษฐี เป็นยาจก เป็นผู้ชรา เป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือสถานะใดก็ตาม ก็จะมีใจที่เหมือนกันอย่างนี้

 


                                                                     

ในการสร้างบารมีนั้นเริ่มด้วยทานบารมี เพราะว่าทานบารมีเป็นเสบียงสำคัญ ถ้าขาดทานบารมีแล้ว บารมีอื่น ๆ แทบจะทำไม่ได้เลย

 

ในทางโลก จอมจักรพรรดินโปเลียน ผู้นำกองทัพฝรั่งเศส กล่าวไว้ว่า “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” หมายความว่า กองทัพต้องมีเสบียงซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะมีเสบียงกี่รูปแบบก็ตาม สรุปได้ว่า จะต้องมีทรัพย์สมบัติเป็นเสบียง ไม่อย่างนั้นกองทัพก็ออกรบไม่ได้

 

แม้กองทัพธรรมก็เช่นกัน กองทัพธรรมจะปราบกิเลส ปราบมาร ก็ต้องมีเสบียงรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเสบียงต่าง ๆ หรือทรัพย์สมบัติที่จะติดตามเราไปได้ ในแต่ละภพชาตินั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการตัดความตระหนี่ (กิเลสประการหนึ่ง) ออกจากใจ แล้วนำทรัพย์ออกมา

บริจาคทาน เปลี่ยนทรัพย์สมบัติหยาบให้เป็นทรัพย์ละเอียดคือ บุญ หากยังตัดความตระหนี่ไม่ได้ สมบัติที่เรามีอยู่ก็จะใช้ได้ในชาตินี้เพียงชาติเดียวเท่านั้น


 

 


เพราะฉะนั้น เมื่อจะสั่งสมบุญสร้างบารมีเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ก็จะต้องสร้างหลักประกันให้ตนเอง เพื่อให้สามารถสร้างบารมีได้ตลอดรอดฝั่ง หลักประกันประการแรก คือต้องมีเสบียงไว้ให้พร้อม จึงต้องสร้างทานบารมีเป็นเบื้องต้น

 


สิ่งที่ต้องตระหนักให้มากก็คือ การสร้างบารมีทำได้เฉพาะอาศัยกายมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องเกิดเป็นคนเท่านั้น เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานสร้างบารมีไม่ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ทำไม่ได้ ได้แต่เสวยผลบุญเก่าที่ทำไว้

 

โบราณจารย์ท่านขยายความต่อไปว่า “ทำไมทานบารมีจึงเป็นบารมีประการแรกที่ต้องสั่งสม ที่ต้องทำให้มาก เพราะทานบารมีนั้นมีอุปการะต่อบารมีประการอื่น ๆ” ซึ่งขยายความได้ดังนี้

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อศีลบารมี การสร้างบารมีทำได้เฉพาะอาศัยกายมนุษย์นี้ ถ้าเกิดเป็นสัตว์โลกอย่างอื่นทำไม่ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็สร้างบารมีไม่ได้ แม้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เป็นเทวดา เป็นพรหมก็สร้างบารมีไม่ได้สุคติโลกสวรรค์เป็นโลกแห่งการเสวยผลบุญ เป็นการยากที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีเพิ่ม และสิ่งที่จะเป็นหลักประกันว่าจะกลับมาเกิดเป็นคนได้อีกมีเพียงประการเดียวก็คือ เมื่อยามที่เป็นมนุษย์รักษาศีล 5 ได้เป็นปกติ

 

ผลแห่งทานบารมีที่สร้างไว้ทำให้ไม่ขาดเสบียงชีวิต ไม่ยากจน ไม่เป็นหนี้ ถ้ายากจนขัดสนเสียแล้วการจะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์นับว่าทำได้ยาก แม้ว่าอยากจะประกอบสัมมาอาชีวะเพื่อว่าศีลจะได้บริบูรณ์ก็ทำไม่ได้เพราะขาดเสบียง แต่ถ้ามีเสบียงเตรียมไว้พร้อมก็ง่ายที่จะเลือกประกอบสัมมาอาชีวะ แม้จะคิดลงทุนทำอะไรต่อก็ทำได้ง่าย กำไรก็หาได้ง่ายเพราะมีทรัพย์ลงทุน

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อเนกขัมมบารมี แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ยังแบกภาระต่าง ๆ มากมาย การจะแสวงหาทางบรรลุธรรมแสวงหาทางพ้นทุกข์เป็นไปได้ยาก การออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะ ดำรงเพศภาวะนักบวช สละสลัดภาระทางโลกลงได้ ชีวิตจึงจะเป็นอิสระและสงบพอที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาเพื่อการบรรลุธรรม

 

แม้การออกบวช ทานบารมีก็มีส่วนสนับสนุน เพราะหากยังมีหนี้สิน ยังมีภาระทางบ้านอยู่ก็ออกบวชไม่ได้ แต่ผลแห่งทานบารมีที่สั่งสมข้ามชาติมาไว้ดีแล้ว ทำให้มีทรัพย์มีเสบียงสำหรับดูแลคนทางบ้าน หรืออย่างน้อยก็ไม่มีหนี้ จึงจะออกบวชได้อย่างสงบ

 

บางท่านถึงแม้การออกบวชเต็มที่ยังทำไม่ได้ เพราะมีภาระต้องดูแลบิดามารดา ดูแลครอบครัว การออกบวชเป็นช่วง ๆ เช่น ช่วงเข้าพรรษา หรือการตั้งใจรักษาศีล 8 ในวันพระก็เป็นการสั่งสมอุปนิสัยบำเพ็ญเนกขัมมะเอาไว้ให้มั่นในใจ แต่ทว่าแม้การออกบวชเป็นช่วง ๆ ก็ยังต้องอาศัยทานบารมีก่อนบวชไว้อุปการะครอบครัวในระหว่างที่ออกบวชช่วงสั้น ๆ เช่นกัน

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อปัญญาบารมี ปัญญาบารมีขั้นต้นนั้น คือการแสวงหาครูดีที่สามารถแจกแจงได้ว่าความดี ความชั่วตัดสินอย่างไรในทุกแง่ทุกมุม การออกตระเวนหาครูดีอย่างนี้ยิ่งมีความจำเป็นว่าจะต้องมีเสบียง เพราะทุกก้าวย่าง ทุกลมหายใจของเรามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทั้งนั้น ไหนจะค่าเดินทางไหนจะค่าอาหารการกินระหว่างทาง ต้องใช้เสบียงตลอดเส้นทาง

 

แม้การศึกษาทางโลก ใครเป็นคุณพ่อคุณแม่คงจะรู้ดีว่า ถึงเวลาเปิดเทอมทีไร ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของลูกมารอแล้วไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม การศึกษาจำเป็นต้องใช้เสบียงเช่นกัน ซึ่งเสบียงนั้นเราเก็บสั่งสมไว้ข้ามภพข้ามชาติมาด้วยการทำทานบารมีนั่นเอง

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อวิริยบารมี วิริยบารมีนั้นหนักไปในเรื่องของการทำภาวนาในที่สงบ ซึ่งการทำภาวนาจะให้ก้าวหน้าได้ดี จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่สัปปายะ คือสถานที่ที่เป็นที่สบายสำหรับการเจริญภาวนา

 

ความสะดวกสบายเรื่องสถานที่นั้น มีประการหนึ่งที่สำคัญ คืออากาศต้องเย็นสบายแบบธรรมชาติ ในอดีตเมื่อถึงฤดูออกพรรษาและรับกฐินแล้ว พระภิกษุสงฆ์ท่านจะแบกกลดสะพายย่ามตามหลังอุปัชฌาย์อาจารย์เดินธุดงค์เข้าป่ากันไป เพื่อจะไปหาที่สงบ ๆ เย็น ๆ สำหรับทำภาวนา นั้นคือการบำเพ็ญวิริยบารมี

 

ด้วยเหตุนี้เพื่อสนับสนุนการบำเพ็ญวิริยบารมีอันมีส่วน ให้การเจริญภาวนาก้าวหน้าได้ดี วัดพระธรรมกายจึงให้มีการปฏิบัติธรรมระยะสั้น ๆ ให้สาธุชนเลือกตามความเหมาะสมของแต่ละคน บางรุ่น 3 วัน บางรุ่นก็ 7 วันหรือ 10 วัน โดยเลือกจัดคอร์สปฏิบัติธรรมในทำเลสถานที่ที่อากาศเย็นสบายและสงบ  

 

แต่การบำเพ็ญเพียรภาวนาจะใกล้หรือไกลก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นธรรมดา ถ้าใครทำทานบารมีมาดีพอ เสบียงเราก็เพียงพอ จะไปบำเพ็ญเพียรภาวนาในสถานที่สัปปายะ จะไปปฏิบัติธรรมนานเป็นเดือน หลาย ๆ เดือน หรือจะนานเป็นปีก็ทำได้ เพราะอะไร เพราะว่าไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ต้องห่วงถึงเรื่องการประกอบอาชีพ และไม่ต้องห่วงเรื่องการเงิน นี้เป็นฤทธาอานุภาพของการสร้างทานบารมีเอาไว้เสริมการบำเพ็ญ

วิริยบารมี

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อขันติบารมี ขันติบารมี คือ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก ไม่หวั่นไหวต่อเสียงสรรเสริญและนินทาคนที่นั่งสมาธิกันไม่ค่อยติด นั่งสมาธิไม่ได้ต่อเนื่อง บางทีก็เพราะถูกเขาค่อนขอดนินทา

 

บางครั้งเราตั้งใจทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เมื่อมีคนไม่เห็นด้วย เขาก็ขัดขวางบางคนด่าสาดเสียเทเสียกันเลยทีเดียว ทำให้บางคนทนไม่ไหว ลุกออกมาตอบโต้กลับไปด้วยความรุนแรง ก็เลยไม่ได้นั่งสมาธิอีก ส่วนคนที่เห็นด้วย เขาก็สรรเสริญเยินยอจนสุดลิ่มทิ่มประตูเหมือนกัน แต่เพราะโดนด่ามานานหรือไม่เคยได้รับการสรรเสริญขนาดนั้นมาก่อน พอเขาสรรเสริญเข้าก็อดตัวลอยไม่ได้ อดหลงตัวเองไม่ได้ จนเป็นเหตุให้เลิกทำความดีได้อีก เช่นกัน 


แต่ทว่า เนื่องจากทำทานไว้เป็นเสบียงเต็มที่ เรามีกินมีใช้สะดวกสบาย ใครนินทาว่าร้ายก็เฉย ๆ ทนได้ เพราะชีวิตเราก็ไม่ได้ไปขึ้นอยู่กับใคร ไม่ได้ไปขอใครกิน ไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินใคร จึงรักษาใจให้สบายได้ง่าย ๆ ทำให้ไม่เลิกล้มการทำความดีกลางคัน

 

ขณะเดียวกัน เมื่อเรามีของเราเต็มที่อยู่แล้ว ใครจะเยินยออย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะมันเต็มอิ่มอยู่ในใจแล้ว ไม่หิวคำชม จึงไม่เคลิ้มหลงคารมไปตามคำยกยอปอปั้นของใครง่าย ๆ มีแต่เดินหน้าทำความดีของเราเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จให้จงได้ ดังนั้นทานบารมีจึงมีอุปการะให้เกิดขันติบารมีอย่างนี้

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อสัจจบารมี คนมีสัจจะ พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้นทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เมื่อมีทานบารมีมาก เวลาจะทำบุญอะไร จะสร้างกุศลประณีตขนาดไหนก็ทำได้อย่างใจปรารถนา วาจาก็เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชขึ้นมา เพราะสามารถพูดอย่างไรก็ทำได้อย่างนั้น ฤทธิ์ของทานบารมีช่วยเสริมให้มีสัจจบารมีอย่างนี้

 

ทานบารมีมีอุปการะต่ออธิษฐานบารมี อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องของความฉลาดในการตั้งผังตั้งโครงการให้บุญส่งผลในอนาคต ถ้าจะเปรียบก็เป็นสถาปนิกผู้ฉลาดในการออกแบบชีวิต ฉลาดชนิดมองทะลุภพชาติไปจนกว่าจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแต่ถ้าไม่มีเสบียงหรือมีเสบียงไม่มากพอ จะอธิษฐานตั้งผังชีวิตเอาไว้อย่างไร ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เหมือนกับโครงการที่วางแผนไว้ละเอียดดีแล้ว แต่งบประมาณหมด ก็ไม่สามารถทำตามแผนต่อไปได้ ทานบารมีจึงมีอุปการะต่ออธิษฐานบารมี ถ้ามีทานที่ทำไว้ดีแล้วจะวางแผนไว้อย่างไรทำได้ตามแผนหมด

 

ทานบารมีมีอุปการะต่อเมตตาบารมี เมตตาบารมี มีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ เห็นใครประสบทุกข์ เห็นใครน่าสนับสนุนแม้รักใคร่เอ็นดูปรารถนาดีสารพัด อยากให้ใครต่อใครเขามีความสุข ให้เขาได้ปฏิบัติธรรมกันทั้งโลก แต่ถ้าไม่มีทานบารมีสนับสนุนก็ทำ ไม่ได้ ทำได้แต่ยืนมองดูเขาด้วยความสงสารแต่ไม่รู้จะสงเคราะห์ช่วยเหลือเขาอย่างไร

 

ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเนปาลซึ่งเป็นต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา แต่ก็ชะงักงันเรื่องพระพุทธศาสนามานานเกือบพันปีแล้ว ทำให้การบวชขาดตอนไปนานทีเดียว ชาวพุทธเราได้แสดงความกตัญญูต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการ ไปจัดโครงการบวชสามเณรหลายครั้ง เพื่อช่วยกันฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในดินแดนต้นกำเนิดให้กลับมา มีแสงสว่างขึ้นมาใหม่อีกหน ซึ่งได้รับการตอบรับจากชาวเนปาลอย่างดี การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในดินแดนพุทธภูมิเช่นนี้ ก็ต้องอาศัยทานบารมีเป็นพื้นฐานอีกเช่นกัน

 

ทานบารมีเป็นอุปการะให้เกิดทานบารมี บุญใหม่ที่ทำในวันนี้จะกลายเป็นบุญเก่าของวันพรุ่งนี้ บุญใหม่ของเราปีนี้ก็กลายเป็นบุญเก่าของเราในปีหน้า ขณะนี้ที่เรามีทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์ ก็เป็นผลของทานบารมีที่เราทำไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว ๆ มา ปีที่แล้ว ๆ มา

 

การที่เรามีโอกาสได้สร้างทานบารมีเพื่อสนับสนุนบารมีต่าง ๆ ทั้ง 9 บารมี แท้จริงแล้วเกิดจากทานบารมีต้นทุนเดิมของเรา เพราะฉะนั้น ทานบารมีก็ส่งเสริมให้เกิดทานบารมีครั้งใหม่ขึ้นมาทับทวีไม่ขาดสายไม่ขาดตอน

 

บารมีทั้ง 9 มีอุปการะเกื้อหนุนให้เกิดอุเบกขาบารมี

 

โบราณาจารย์ท่านชี้ให้เห็นว่า บารมีทั้ง 9 ประการนี้เต็มเปี่ยมเมื่อไร อุเบกขาบารมีจึงจะเกิดขึ้นได้ ก็หมายความว่าอุเบกขาบารมีเป็นผลที่ได้จากการบำเพ็ญบารมีทั้ง 9 มาก่อนนั่นเอง เพราะเมื่อใดที่อุเบกขาบารมีพร้อมแล้ว ก็มีความพร้อมที่จะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาทันที

 

ดังนั้น ในพระชาติที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระเวสสันดร จึงได้ชื่อว่าเป็นมหาชาติ คือบำเพ็ญบารมีทุกอย่างเต็มบริบูรณ์เรียบร้อยพร้อมที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เพื่อการตรัสรู้

 

พระชาติสุดท้าย เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เต็มเปี่ยมทุกบารมี พร้อมแล้วที่จะตรัสรู้ ตั้งแต่แรกประสูติเจ้าชายสิทธัตถะย่างพระบาทได้ 7 ก้าว แล้วเปล่งอาสภิวาจาว่า

 

“อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ

โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา

ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโวติ.

เราเป็นผู้เลิศของโลก เราเป็นผู้ใหญ่

ในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก ชาตินี้

เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้การเกิดอีกมิได้มี”

 

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะสละราชบัลลังก์ออกบวช ทรงมุ่งหน้าไปทำงานค้นคว้าหาวิธีดับทุกข์ กำจัดกิเลส จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

จากการเชื่อมโยงให้เห็นว่าทานบารมีมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์ต่อการสร้างบารมีประการอื่น ๆ ก็หวังว่าคงพอจะได้แนวทางของวัดพระธรรมกาย ที่ใช้การสร้างบารมี 10ทัศ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบแผนการดำเนินชีวิต จากนั้นก็นำมาสั่งสอนอบรม ให้พอเหมาะกับเพศ วัย ตามสถานภาพ ตามฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนแต่ละกลุ่มที่เข้าวัดพระธรรมกาย

 

ดังนั้น การที่วัดพระธรรมกายเน้นชวนคนทำบุญก็ตาม สร้างศาสนสถานใหญ่โตก็ตามล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างทานบารมีไว้เป็นเสบียงติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ เพราะทานบารมีนั้นมีอุปการะต่อบารมีทั้ง 10 ทัศตามที่โบราณาจารย์ท่านให้ข้อคิดไว้ดีแล้ว 

วัดพระธรรมกายได้อาศัยหลักการสร้างบารมี 10 ทัศ มาเป็นแนวทางในการสั่งสอนอบรมประชาชนที่มาวัด และเพียรพยายามสืบทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาไว้ตามแนวทางของบารมี 10 ทัศ ซึ่งเป็นแนวทางดั้งเดิมในการบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยประการฉะนี้ 


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว

 หลวงพ่อตอบปัญหา


ท้ายที่สุดนี้จะเห็นได้ว่าทานบารมี มีความสำคัญมาก ๆ ถ้าเราตระหนี่ถี่เหนียวไม่รักการเป็นผู้ให้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพชาติเราจะเกิดมา อดอยาก ยากจน อัตคัดขัดสน จะกินอยู่นอนหลับก็ลำบาก ต้องตรากตรำอาบเหงื่อต่างน้ำ ลำบากมาก ๆ นี่แค่เริ่มต้นลำบากขนาดนี้ แล้วเราจะมีโอกาสทำให้ตนเองหลุดพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารได้อย่างไร 

แต่ถ้าเรารักที่จะเป็นผู้ให้เสียนับตั้งแต่บัดนี้ยังไม่สายเพียง ทุกวันตอนเช้าเตรียมภัตตาหารไว้ใส่บาตรพระที่ท่านมาบิณฑบาตรโปรดสัตว์โลก และขวนขวายรักการเป็นผู้ให้ไม่ว่าบุญเล็กบุญน้อยถ้าได้โอกาสทำ ก็ให้รีบทำจะทำมากทำน้อยก็ขอให้ได้ทำ เพื่อเป็นการสั่งสมความเป็นผู้มีอันจะกินไว้ นับตั้งแต่บัดนี้จะทำให้เราเกิดกี่ภพชาติจะเกิดมาเป็นผู้อุดมไปด้วยทรัพย์สมบัติ ปรารถนาที่จะสร้างความดีสร้างบารมีแม้เกิดเหตุการณ์คับขันมากเพียงใด เราก็จะสามารถกระทำได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ทุกครั้งไป 

ฉะนั้นนับต่อแต่นี้ไป เราควรให้ความสำคัญฝากฝังสมบัติไว้ในพระพุทธศาสนา   บำรุงเสนาสนะวัดวาอารามให้คงทนแข็งแรงและเจริญรุ่งเรือง เพื่อพระพุทธศาสนาจะได้ดำรงคงอยู่คู่โลกเป็นที่พึ่งที่ระลึกต่อมวลมนุษย์ชาติตราบนานเท่านาน หรือบุญสงเคราะห์โลกเราควรรีบขวนขวายทำ    ดังพุทธศาสนสุภาษิต ความว่า

 

วิเจยฺย  ทานํ  สุคตปฺปสตฺถํ.

การเลือกให้  อันพระสุคตทรงสรรเสริญ.

 

ที่มา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (สํ. ส. ๑๕/๓๐)

  

กราบขอบพระคุณที่มาความสมบูรณ์ของบลอค :
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทัตตชีโว เรื่อง บารมี 10 ทัศ...แนวทางการดำเนินชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ?
ภาพประกอบ : www.dmc.tv

โลกสว่างไสวด้วย...สองมือเรา

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การได้เกิดมาเจอคำสอนของพระพุทธศาสนา มีศรัทธารักที่จะ ละชั่ว ทำความดี ทำใจใส ๆ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือ...