ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จ

 

พระพุทธศาสนามีคำสอนที่เป็นเคล็ดลับ 

หลักประกันความสำเร็จของการทำงานอยู่บ้างไหม

 



ใครจะทำงานอะไรให้สำเร็จ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ ความเข้าใจถูกก่อน จะทำไร่ไถนา ก็ต้องเข้าใจเรื่องการทำไร่ไถนาให้ถูก จะขับรถก็ต้องทำความเข้าใจถูก เรื่องการขับรถ จะขายตรงก็ต้องมาทำความเข้าใจถูก เรื่องขายตรง จะทำอะไรก็ตาม ต้องเข้าใจงานที่จะทำ ให้ถูก ให้ชัดก่อน

 

การที่เราจะเข้าใจถูกได้ ใจต้องใสก่อน ใจของใครจะใสได้ ก็ต้องสะอาดก่อน ต้องเป็นระเบียบก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะทำอะไรไม่ได้เต็มที่ ส่วนใจสะอาดมากเท่าไร ความเข้าใจก็ถูกก็ชัดมากเท่านั้น ยิ่งใจมีระเบียบเท่าไร ความเข้าใจถูกก็ชัดเจนมากเท่านั้น เคล็ดลับอยู่ตรงนี้

 

เมื่อเข้าใจถูก จึงจะคิดถูก วางแผนงานได้ถูก

 

สมมุติจะทำไร่ ทำสวน ทำนา ของพวกนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่ว่าต้องเข้าใจให้ถูกก่อนทำไร่ คือ การปลูกพืชล้มลุก ทำสวน คือการปลูกพืชยืนต้น ทำนา คือ ปลูกพืชล้มลุก แต่ว่าพืชล้มลุกนั้นเป็นข้าว แล้วจะทำนาข้าวนี่ จะทำนาดอน หรือจะทำนาลุ่ม ถ้าจะทำการค้า จะค้าขายปลีก หรือค้าขายตรง หรือค้าขายส่ง

 

การจะทำงานอะไรให้สำเร็จ งานทุกอย่างต้องเริ่ม จากทำความเข้าใจ ให้ถูกต้องก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากัน เรื่องวิธีการ

 

ถ้ายังเข้าใจไม่ถูก อย่าเพิ่งไปทำ เมื่อเข้าใจงานที่จะทำถูกแล้ว จึงจะคิดถูก คือ คิดวางแผนงานที่จะทำได้ถูก ถ้าเข้าใจงานผิดแล้วคิดถูกนั้นเป็นไปไม่ได้

 

เมื่อคิดถูก จึงจะสามารถ พูดถูก พูดถูกก็คือ สามารถอธิบายให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างเข้าใจได้ อย่างน้อยอธิบายให้ตัวเองเข้าใจ ได้ชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าอธิบายไม่ถูก จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่ว่าจะอธิบายถูกได้นั้น ต้องคิดถูกก่อน มันส่งผลกันอย่างนี้

 

เมื่อพูดถูก อธิบายถูก จึงจะ ทำตัวได้ถูก จึงจะปฏิบัติตัวให้น่าเชื่อถือ ได้ถูกต้อง เป็นการเตรียมตัวก่อน ที่จะประกอบอาชีพนั้น เพราะแต่ละอาชีพจะมีบุคลิกเฉพาะ เป็นทหารก็ต้องปฏิบัติตัวออกแนวบุคลิกทหาร จะเป็นตำรวจก็มีบุคลิกตำรวจ จะเป็นพ่อค้า เป็นครู เป็นชาวไร่ เป็นชาวประมง ทุกคนต้องวางตัวให้ถูก ให้น่าเชื่อถือก่อน ไม่อย่างนั้นมันไปไม่ได้ ถ้าบุคลิกอย่างนี้เหมาะจะเป็นนักร้อง แต่จะไปเป็นนักกล้าม มันจะไปด้วยกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทำตัวให้ถูก

 

พอทำตัวให้ถูก จึงมาฝึกทำงานในอาชีพนั้นให้ถูก แล้วจึงเลี้ยงชีพถูก ฝึกเข้าไป งานอาชีพไหนก็ตาม ไม่มีใครเก่งได้เอง ต้องอาศัยการฝึกฝน แค่จะทำความสะอาดให้ได้ดี ยังต้องมาฝึกเลือกผ้าขี้ริ้วเลย งานอย่างอื่น ๆ ก็ต้องฝึกกันทั้งนั้น

 

เมื่อเลี้ยงชีพถูกหรือทำงานนั้นได้สมกับ ที่จะเป็นอาชีพแล้ว ครั้นพอลงมือทำงาน ก็ต้องพยายามถูก ยังต้องเข็นงานให้เดินหน้า พยายามทำงานเข้าไป  ยังต้องพัฒนาการทำงานกันอยู่เรื่อย ๆ เพราะว่าเทคโนโลยีมันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา

 

ระลึกถูก หรือระวังถูก ในขณะที่พยายามอยู่นี้ แม้จะเข้าใจเรื่องงานอย่างนั้นอย่างนี้ถูกแล้ว ขณะทำงานยังต้องระวังให้ถูก ทำไมจึงพูดเช่นนี้ ก็เพราะแม้แต่ข้าวที่อยู่ในปากของเรา และเราก็ฝึกเคี้ยวมาตั้งแต่เกิด เผลอนิดเดียวฟันงับลิ้นเฉยเลย เคยไหม ฉะนั้นในที่สุดแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อจะทำให้ดี ต้องมีความระวังด้วย แม้เดินดี ๆ ยังไม่วายสะดุดขาตัวเองหัวทิ่มเลย เคี้ยวข้าวยังไม่วายงับกระพุ้งแก้มไม่วายงับลิ้น เมื่อพยายามถูกแล้ว ยังต้องระวังถูก หรือระลึกถูก ตั้งใจถูก ทำงานประกอบ ด้วยความระวังเรียบร้อยแล้ว ต้องทุ่มเททำงานกันให้สุด ๆ อย่าไปทำเหยาะแหยะ มันจึงจะได้ผล แล้วจึงจะประสบความสำเร็จ แล้วจะส่งผลให้เข้าใจถูกอีกยิ่ง ๆ ขึ้นไป

 

วงจรแห่งความสำเร็จ ถ้าจะเขียนเป็นวงจรก็ได้อย่างนี้ ดูกันให้ชัด หาไม่แล้วจะมีความกังขา ว่าที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จได้เพราะอะไร และที่เคยสำเร็จมาแล้ว วันหลังมาทำอีกแล้วล้มเหลว ก็จะมาสงสัยว่าทำไม แล้วพาลไปคิดว่าเพราะดวงไม่ดี นั่นไม่ใช่หรอก แต่เป็นเพราะเรามองไม่ออกเอง

 

เริ่มต้นจะทำงานอะไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจงานนั้นให้ถูกก่อน เมื่อเข้าใจถูก จึงคิดถูก คิดวางแผนการดำเนินงานได้ถูก เมื่อคิดถูกจึงพูดถูก อธิบายงานที่จะทำได้ถูก เมื่อพูดถูกอธิบายถูก จึงทำตัวถูก ปฏิบัติตัวได้ถูก พอปฏิบัติตัวได้ถูก จึงเลี้ยงชีพถูก หรือประกอบอาชีพถูก พอเลี้ยงชีพถูก หรือประกอบอาชีพได้แล้ว ก็ต้องพยายามดำเนินงานไปให้ได้ดีตลอดด้วย 


ขณะที่พยายามทำงานอยู่นั้นต้องระวังให้ถูก หรือระลึกถูก เพื่อป้องกันความผิดพลาดต่าง ๆ ที่จะเกิดจากความประมาท เมื่อได้ระวังอย่างดีแล้ว มั่นใจดีแล้ว ว่าไม่พลาดแน่  ก็ต้องตั้งใจทำให้ดี ให้ถูก พอตั้งใจลงไปอย่างนี้ก็ทุ่มเททำกันไปให้สุด ๆ ทั้งทุน ทั้งเรี่ยวแรงสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ กำลังพวกพ้องบริวาร งานที่ทุ่มเททำ ก็เลยออกดอกออกผล ผลดีได้เกิด แล้วเมื่อความสำเร็จของงานเกิดขึ้น ออกผลดีมาแล้ว ก็เลยทำให้เข้าใจถูกในรอบที่ 2 ส่งผลให้คิดถูกในรอบที่ 2 ส่งผลให้อธิบายถูกได้ลุ่มลึกไปอีกในรอบที่ 2 ส่งผลให้ทำได้ถูกวางตัวถูกในรอบที่ 2 เลยเกิดทักษะความชำนาญในอาชีพในรอบที่ 2 ส่งผลต่อ 


ทำให้เกิดความพยายามต่อไป สรรหาเทคนิค เทคโนโลยีสารพัดที่จะต้องทุ่มเทมาทำงานกันต่อในรอบที่ 2 แล้วก็มีความชำนาญมากขึ้น รู้มากขึ้นด้วย ว่าจะต้องระวัง อะไรในรอบที่ 2 และตั้งใจยิ่งขึ้น ทุ่มเททำงานกันสุดตัวในรอบที่ 2 แล้วก็จะประสบความสำเร็จออกผลมา ยิ่งเพิ่มความเข้าใจถูกให้เกิดขึ้นในรอบที่ 3 แล้วก็เลยคิดถูกในรอบที่ 3 พูดถูกในรอบที่ 3 วนไปเป็นวงจร แต่ละรอบที่วนไป มีองค์ประกอบอยู่ 1, 2, 3, 4, 5, 6,7, 8 มีองค์ประกอบแห่งความสำเร็จอยู่ 8 ประการ อย่างนี้

 

งานในระดับทางโลกก็ต้องประกอบด้วยองค์ 8 ประการ แม้ในการปราบกิเลสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องประกอบด้วยองค์ 8 ประการ เพียงแต่ว่าเพดานแห่งความทุ่มเทมันต่างระดับกัน อุปมาเหมือนอะไร เหมือนนกกระจอกนกกระจิบมันก็บินได้ แต่เพดานมันเตี้ย ถ้าพญาเหยี่ยวก็บินสูง พญาครุฑก็บินสูงขึ้นไปอีก แม้บินด้วยวิธีการเดียวกัน แต่ความชำนาญ กล้ามเนื้อ ความบึกบึนสารพัดมันต่างกัน คนละเพดานบิน ถ้าเป็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ ก็บินระดับหนึ่ง เครื่องบินใบพัดก็บินระดับหนึ่ง เครื่องบินใบพัดเดียวกับสี่ใบพัด ก็บินคนละระดับ เครื่องบินไอพ่นก็อีกระดับหนึ่ง ถ้าเป็นจรวดก็ไปอีกระดับหนึ่ง  แต่ทั้งหมดนี้บินด้วยหลักการเดียวกัน

 


เวลาทำงานเราละเอียดไม่พอ ที่จะมาสังเกตเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นบางครั้งก็ทำสำเร็จ บางครั้งไม่สำเร็จ และที่ทำสำเร็จ ก็ไม่เคยได้มานั่งแยกแยะ ดูว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าเมื่อใดได้มาพิจารณาแยกแยะดู ก็จะพบว่ามันเป็นอย่างนี้ และผู้ที่จะแยกแยะดูได้อย่างนี้ ต้องฝึกตัวมาดีในระดับที่ สะอาด ระเบียบ สุภาพ ตรงต่อเวลา จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ หรือความดีสากล 5 ประการต้องแน่น

 

บทสรุปความสำเร็จของการทำงานทุกอย่างจึงเริ่มที่ความเข้าใจถูก ที่เกิดจากการฝึกความดีสากลด้วยใจที่สะอาด ระเบียบสุภาพ ตรงต่อเวลา เป็นสมาธิ แล้วจะเจริญไม่มีที่สิ้นสุดทุกคน


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว เรื่อง พระพุทธศาสนามีคำสอนที่เป็นเคล็ดลับหลักประกันความสำเร็จของการทำงานอยู่บ้างไหม

บทความ เรื่อง UG5 ความดีพื้นฐานสากล 5 ประการ

ภาพประกอบ  pixabay.com

                      dmc.tv

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เหตุแห่งนิสัยดีและไม่ดี

 

 

คำถาม:

 

หลวงพ่อเจ้าขา คนเรานั้นมีนิสัยแตกต่างกัน บางคนก็นิสัยดี บางคนก็นิสัยไม่ดี อยากกราบเรียนถามว่า นิสัยของคนเราทั้งดีและไม่ดี เกิดขี้นมาได้อย่างไรเจ้าคะ

 

 




คำตอบ:
 

เจริญพร นิสัยไม่ว่าดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจากการย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำของตัวเอง นิสัยใครก็ขึ้นอยู่กับการย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำของผู้นั้น

 

ถ้าในขณะที่ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ มีทัศนคติและวิธีการ ในการย้ำนั้นในทางที่ถูกที่ควร ก็จะได้นิสัยดี ๆ ถ้าย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ในเรื่องไม่ดี ทัศนคติไม่ดี ก็จะได้นิสัยไม่ดีติดตัว มีเรื่องใหญ่ ๆ ที่มนุษย์ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ตลอดชีวิตอยู่ 4 เรื่องด้วยกัน ตั้งแต่เกิดจนตาย หนีไม่พ้น

 

เรื่องที่ 1. เรื่องของปัจจัย 4 คือเรื่องเกี่ยวกับการหล่อเลี้ยงชีวิตของตัวเอง 4 อย่าง ตั้งแต่เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย รวมถึงการรักษาสุขภาพของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ พระเรียกว่าปัจจัย 4

 

เรื่องที่ 2. คือกิจวัตรประจำวันของเรา เช่นการนอน การตื่น การอาบน้ำ แปรงฟัน

 

เรื่องที่ 3. คือเรื่องการงานในอาชีพของตัวเอง ถ้าเป็นงานการประเภทสัมมาทิฏฐิคือเลี้ยงชีพ ทำมาหากินในทางที่ชอบ แววที่นิสัยดีก็จะเกิดขึ้นมา  แต่ถ้าเลี้ยงชีวิตในทางไม่ชอบ มีอาชีพในทางขโมยเขากิน เราเดาได้นิสัยจะเป็นอย่างไร

เรื่องที่ 4. คือเรื่องจากสภาพสิ่งแวดล้อมของเขา ไม่ว่าสภาพแวดล้อมนั้นจะเป็นคนหรือเป็นธรรมชาติก็ตาม เช่น รอบบ้านเป็นสลัม เช้าขึ้นมาก็มีเสียง วุ่นวาย นิสัยก็จะเป็นไปอย่างหนึ่ง กับบ้านที่อยู่ท่ามกลางคนที่ชอบไปวัดปฏิบัติธรรม นิสัยก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง

 

ตัวอย่างนิสัยที่เกิดจากปัจจัย 4 คือเรื่องอาหารก่อน บ้านไหนแค่พ่อแม่มีทัศนคติว่า คนเรากินเพื่ออยู่ นิสัยก็จะไปอย่างหนึ่ง คือมีนิสัยประหยัด รักที่จะทำความดี ถ้าอีกบ้านหนึ่งมีทัศนคติ อยู่เพื่อกิน นี่คือเตรียมกินบ้านกินเมือง เตรียมโกง ทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ก็ทำให้เกิดเป็นนิสัยคนขึ้นมาได้

 

วิธีกินอาหารก็เหมือนกัน บ้านไหนพ่อแม่ลูกกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา บ้านนั้นจะรักกัน นิสัยเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้น บ้านไหนถึงเวลาจะกินข้าว ใครหิวก็กินก่อน ใครยังไม่หิวก็ตัวใครตัวมัน ลูกหลายคน กินข้าวไม่เคยตรงเวลากับคุณพ่อคุณแม่ ลูกเหล่านี้ไม่รักกันเลย เพราะว่าตัวใครตัวมันตั้งแต่แรกแล้ว นี้เป็นตัวอย่าง

 

เรื่องเสื้อผ้าก็เหมือนกัน บ้านไหนมีทัศนคติว่า เสื้อผ้าใช้เพื่อกันแดด กันลม กันฝน กันร้อน กันหนาว กันอาย พวกนี้เขาจะมีนิสัยไม่ชอบฟุ่มเฟือยมาตั้งแต่เล็ก  มันติดมาจากทัศนคติตรงนี้ แต่ว่าถ้าบ้านไหน แต่งตัวนอกจากมันต้องเด่นต้องดังแล้ว ต้องตามแฟชั่นให้ทัน พวกนี้ก็จะได้นิสัยไปอีกอย่าง คือนิสัยตามกระแสโลก ไม่เป็นตัวของตัวเอง นี่จากเสื้อผ้าก็เป็นนิสัย

 

จากที่อยู่อาศัยก็เป็นนิสัยได้เหมือนกัน ลูกที่ตื่นนอนขึ้นมาเก็บผ้าห่ม ที่นอน ปัดกวาดบ้านถูห้องนอนช่วยแม่ ก็จะได้นิสัยรับผิดชอบมาตั้งแต่เล็ก ถ้านอน ตื่นขึ้นมาไม่เคยเก็บที่นอน นี่ไม่รับผิดชอบแม้กระทั่งตัวเอง

 

ในเรื่องของการรักษาสุขภาพ ถ้าพ่อแม่รักษาสุขภาพดี สอนให้กับลูกตั้งแต่เล็ก ลูกก็ปฏิบัติตามตั้งแต่แปรงฟันให้ถูกส่วน อาบน้ำให้เป็น เหล่านี้เป็นต้น

 

สิ่งเหล่านี้ มันถูกย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ แล้วก็กลายเป็นนิสัย อย่างอื่น กิจวัตรประจำวัน อาชีพ สิ่งแวดล้อม ก็ล้วนแต่ย้ำคิด ย้ำทำ ทั้งนั้น แล้วก็กลายเป็นนิสัยคน คือถ้าย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ด้วยทัศนคติที่ดี จะได้นิสัยดี ถ้าย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ด้วยทัศนคติไม่ดี นิสัยไม่ดีก็เกิดมาจากข้าวแต่ละคำ น้ำแต่ละอึก นมแต่ละอิ่ม ทีวีที่ดูแต่ละครั้งทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็เลือกย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ แต่สิ่งที่ดี ๆ อย่างนั้น


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา


สรุปจากพระธรรมเทศนานี้ ทำให้เราทราบถึงว่า เราปรารถนาจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีขึ้นอยู่ที่ตัวของเรา กระทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ ทำแล้วทำอีก ทำจนกลายเป็นนิสัย 


ด้วยความที่เราทุกคนมีบุญลาภเกิดมาโชคดี ชาตินี้ได้เกิดมาเจอคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส  เราทุกคนจึงมีโอกาสที่จะปลูกฝังสิ่งดี ๆ ให้แก่ตนเอง ให้ตนเองเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ รักในการสั่งสมบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา หมั่นท่องบ่นมนต์ให้เป็นนิจ  รักและปรารถนาดีกับผู้ใด ชวนกันสั่งสมความดีสร้างบุญกุศล ชีวิตจักประสบแต่ความสุขและความเจริญ สมปรารถนาในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สังคมประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุขโดยถ้วนหน้า


ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน อยู่ในช่วงเฝ้าระวังเชื้อไวรัสโควิด - 19 รอบใหม่ ทุกท่านควรหยุดอยู่บ้านเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อ แต่เราทุกท่านจะไม่หยุดในการสั่งสมบุญ สร้างความดี สร้างบารมี เพราะชีวิตเราทุกท่านที่เกิดมาบนโลกใบนี้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ดลบันดาลให้ชีวิตของเราทุกท่าน ประสบแต่ความสุขความเจริญ สมปรารถนาทุกประการ สิ่งนั้นก็คือ บุญ คำเดียวสั้น ๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่สำคัญยิ่งชีวิตของเราทีเดียว เพราะหมดบุญก็หมดโอกาสอยู่บนโลกใบนี้



บทสวดมนต์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร - Dhammacakkappavattana Sutta - 

转法轮经 17 นาที l Sub TH + Eng + Ch


ท้ายที่สุดวัดพระธรรมกาย ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมสวดมนต์บทธรรมจักรออนไลน์ ให้ได้ 3,030,002,564 จบ  ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปีพุทธศักราช 2564 (ปีชวด) เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อต้อนรับสิ่งดี ๆ ต้อนรับความมีสิริมงคลให้แก่ตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก ในวันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พุทธศักราช 2564 เริ่มตั้งแต่เวลา 21.30 น. เป็นต้นไป


การสวดมนต์คือการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย

มีคุณอันไม่มีประมาณ

การสั่งสมบุญนำสุขมาให้

ขอกราบอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ สาธุ


Cr.เอ๋ จินตนา


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว เรื่อง นิสัยของคนเราทั้งดีและไม่ดีเกิดขึ้นได้อย่างไร

นักเขียนอิสระ  : เอ๋ จินตนา

ลิงก์ : นำสวดมนต์บทธรรมจักร

ภาพประกอบ  : dmc.tv



วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

หลักวิชชาก่อนใส่บาตร ให้ได้บุญได้อานิสงส์มาก

 


คำถาม:

การใส่บาตร ถ้ามีความคิดว่าใส่ให้กับพระองค์ไหนก็เหมือนกัน เพราะถือว่าผ้าเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ความคิดนี้ผิดถูกอย่างไรครับ?

 

คำตอบ:

เรื่องนี้ก็ไม่ผิด ตามสะดวก แต่ว่าถ้าอยากจะได้ผลเป็นบุญมากๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทานที่มีผลเป็นบุญต้องประกอบด้วยเหตุ 4 ประการ คือ

 

1.วัตถุบริสุทธิ์ คือไม่ได้ไปโกงใครมา เป็นของที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง

 

2.เจตนาบริสุทธิ์ คือตั้งใจให้ทาน เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล การให้ของคนเราต่างกัน เช่น บางคนไปรักสาวคนไหนก็ซื้อแหวนให้ นั่นเป็นการให้ที่มีเจตนาไม่เป็นบุญเป็นกุศล แต่เจตนาให้เขารัก หรือไปรักสาวคนไหน ก็ซื้อของขวัญให้น้องสาวของสาวคนนั้น เป็นการติดสินบนให้เปิดทางให้อีกต่อหนึ่ง นั่นก็เป็นเจตนาที่ไม่เป็นบุญกุศล ถือว่าเป็นเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อบุญล้วนๆ

 

3.ผู้ให้บริสุทธิ์ อย่างน้อยมีศีล 5 ถ้าหากตักบาตรไป เมาเหล้าไป บุญส่วนนี้ก็หย่อนไป

 

4.ผู้รับบริสุทธิ์ คือพระภิกษุรักษาศีลได้ครบถ้วน ไม่ด่างพร้อย มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ยิ่งหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ด้วย เรายิ่งได้บุญมาก หรือแม้ที่สุด ท่านยังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ด้วย เรายิ่งได้บุญมาก หรือแม้ที่สุดท่านยังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ อย่างน้อยท่านก็ตั้งใจประพฤติตนอยู่ในพระธรรมวินัย แค่นี้ก็ยังดีที่ไม่ใช่เป็นพระเกเร

 

หากผู้รับบริสุทธิ์มาก ก็จะทำให้เราได้บุญมาก แต่ถ้าศีลของท่านบกพร่องด่างพร้อย ก็จะทำให้เราได้บุญน้อยลงตามลำดับ แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร ถ้าเรามีศีลบริสุทธิ์ มีเจตนาบริสุทธิ์ ของที่ทำบุญก็บริสุทธิ์ เราก็ได้บุญของเราแล้ว และยิ่งพระที่มารับบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ บุญก็ยิ่งมากขึ้นไปตามส่วนเท่านั้น

 

อย่างไรก็ดี ขอให้ใช้ความพิจารณาพอสมควร คือ บางแห่งสามารถเลือกพระได้ ก็เลือกเถอะนะ สนับสนุนพระที่ท่านตั้งใจดี เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้พระที่เกเรปฏิบัตินอกพระธรรมวินัย มีกำลังขึ้นมา

 

เราปล่อยพระเกเรให้อดๆ อยากๆ เสียบ้าง ท่านจะได้ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แต่ถ้าอยู่ในฐานะที่เลือกไม่ได้ การได้บุญ 3 ใน 4 ส่วน ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยนะ


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา


พระธรรมเทศนาเบื้องต้น ทำให้เราทุกท่านได้ความรู้ในการทำทานที่ถูกหลักวิชชาคือ เจตนาผู้ให้และผู้รับบริสุทธิ์ ทรัพย์บริสุทธิ์ ถ้าจะให้ได้อานิสงส์เกินควรเกินคาด ได้บุญทับทวี เราควรตามตรึกระลึกนึกถึงบุญให้ปลื้ม ๆ อยู่เสมอ บุญยิ่งนึกยิ่งโต เวลาสมบัติเกิดแก่พวกเราทุกคน จะทำให้ทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญทั้งในภพชาตินี้และภพชาติต่อ ๆ ไป และเป็นเสบียงติดตัวเพื่ออำนวยให้ เราทุกคนสะดวกสบาย สนับสนุนย่นระยะทาง ให้เราสามารถกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป   เข้าถึงบรมสุขตราบกระทั่งไปสู่ฝั่งพระนิพพาน จนถึงสุดแห่งธรรม ได้อย่างง่ายดายเป็นอัศจรรย์


ท้ายที่สุดนี้ เรียนเชิญทุกท่าน ร่วมปิดงบดุลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ร่วมพิธีตักบาตรฉลองพระใหม่พระธรรมทายาท รุ่นบูชาธรรมมหาปูชนียาจารย์  วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 ณ พระมหาธรรมกายเจดีย์ พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์ วัดพระธรรมกาย


บุญใครทำใครได้ อยากได้ต้องทำเอง

การสั่งสมบุญนำสุขมาให้

บุญอยู่เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จทั้งมวล

ขอกราบอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้


ขอกราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว เรื่อง การเลือกพระใส่บาตรเป็นความคิดที่ถูกหรือผิดอย่างไร

ภาพประกอบ  spiritualuniversal

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563

อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปให้มนุษย์และเทวดากราบไหว้

 

บุคคลใดก็ตามมีจิตศรัทธาสร้างพระพุทธรูป   ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกใจของประชาชน หรือชาวโลกให้สูงขึ้น ให้พ้นจากกิเลสตัณหา ให้มีความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดที่ดี ปรารถนาให้โลกนี้สงบร่มเย็น

 

การสร้างพระพุทธรูป
คือการยกใจตนให้สูง มีคุณอันไม่มีประมาณ


ในฐานะที่เป็นผู้สร้างพระพุทธรูป เป็นผู้ที่ยกใจผู้อื่นให้สูงขึ้น บุญกุศลนี้ย่อมทำให้ ตัวของผู้สร้างพระพุทธรูป

 

1.มีจิตใจสูงส่งตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไป คือมีความใฝ่ดีเป็นพื้นฐานของใจ ตั้งแต่ชาตินี้เลย

 

2.เป็นที่เคารพกราบไหว้ในทุกถิ่นฐาน ของมนุษย์และเทวดา

 

3.แม้ละโลกไปแล้ว   ตราบใดที่ยังมีผู้มากราบไหว้พระพุทธรูปที่สร้างไว้ ตราบนั้นบุญที่สร้างพระพุทธรูป ก็ยังส่งผลให้ เป็นที่เคารพกราบไหว้ ของบุคคลทั้งหลายในภพภูมิที่ไปเกิด

 

4.อกุศลจิตทั้งหลาย บาปทั้งหลาย จะหลุดล่อนออกจากใจ ได้โดยง่ายดาย

 

5.จะเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา ที่เจริญรุ่งเรืองไปทุกภพชาติ ถึงคราวปฏิบัติธรรม สามารถเข้าถึงพระธรรมกายได้โดยง่ายดาย

 

6.เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร   ที่เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทั้งทางธรรม บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย

 

นี้เป็นเพียงอานิสงส์โดยย่อ เพราะฉะนั้นเรื่องการสร้างพระพุทธรูปนี้ ขอให้ทำกันเถอะ ให้เป็นบุญล้วนๆ เลยนะ


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา


สุดท้ายนี้ อานิสงส์แห่งการสร้างพระพุทธรูปให้มนุษย์และเทวดากราบไหว้ มีคุณอันประมาณมิได้ ดังพระธรรมเทศนาเบื้องต้น ในสังสารวัฏอันยาวไกล หาเบื้องต้นเบื้องปลายมิได้ เสบียงที่สำคัญในการเดินทางไกล มีบุญเท่านั้นเป็นเพื่อนแท้ 


หาโอกาสสร้างบุญสร้างพระพุทธรูปให้มนุษย์และเทวดากราบไหว้  จะทำให้เราเป็นผู้อุดมไปด้วย  รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร  ตราบถึงที่สุดแห่งธรรม


บุญใครทำใครได้ 

บุญอยากได้ต้องทำเอง 

บุญไม่มีใครทำแทนกันได้ 

อยากเป็นใหญ่ในทรัพย์บุญทุกบุญเราต้องทำเอง 

ขอกราบอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว เรื่อง อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป (คลิกอ่านต่อ)

ภาพประกอบ  dmc.tv

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

อานิสงส์ของการแผ่เมตตา


 

ผู้แผ่เมตตาจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ ในพระบาลีอังคุตตรนิกายว่า ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับอานิสงส์ 11 ประการ ดังนี้

 

1.หลับเป็นสุข คือ หลับสบาย หลับสนิท

 

2.ตื่นเป็นสุข คือเมื่อตื่นขึ้นมาก็สบายตัว สบายใจ หายอ่อนเพลีย ไม่มีอาการง่วงติดต่ออีก

 

3.ไม่ฝันร้าย คือ จะไม่ฝันเห็นสิ่งเลวร้ายทำให้สะดุ้งตื่นกลางคัน หรือไม่ฝันหวาดเสียวต่าง ๆ

 

4.เป็นที่รักของคนทั่วไป คือ จะเป็นคนมีเสน่ห์ ไปที่ใดก็ปราศจากศัตรูผู้คิดร้ายแม้ผู้ไม่ชอบใจ ก็จะกลับมาชอบได้

 

5.เป็นที่รักของอมนุษย์ทั่วไป คือแม้สัตว์ต่าง ๆ ก็รักผู้แผ่เมตตา ไม่ขบกัด ไม่ทำร้ายทำให้ปลอดภัยจากเขี้ยวงาทุกชนิด

 

6.เทวดารักษาคุ้มครอง คือ จะเดินทางไปไหนมาไหน เทวดาจะคุ้มครองให้ความปลอดภัยตลอดเวลา จะไม่ประสบอุปัทวภัยต่าง ๆ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

 

7.ไฟ ศาสตรา ยาพิษ ไม่แผ้วพาน คือสิ่งเหล่านี้จะทำอันตรายมิได้ จะปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้

 

8.จิตเป็นสมาธิเร็ว คือ ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ถ้าทำสมาธิ จิตจะสงบนิ่งได้เร็ว หรือจะอ่านหนังสือจะทำงานอันใดก็ตาม จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมตั้งใจได้เร็ว ทำงานนั้นสำเร็จสมประสงค์

 

9.หน้าตาผิวพรรณจะผ่องใส คือผู้มีเมตตาจิตเป็นประจำ หน้าตาและผิวพรรณ จะมีน้ำมีนวล มีเสน่ห์ เรียกความสนใจได้ จะดูอิ่มเอิบตลอดเวลา แม้จะมีอายุมาก แม้รูปร่างจะไม่สวยงาม แม้จะไม่ได้รับการแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางใด ๆ หน้าตาผิวพรรณ ก็ผ่องใสน่าดูน่าชมได้เสมอ

 

10.ไม่หลงเวลาตาย คือเวลาใกล้ตาย จะไม่หลงเพ้อ ละเมอ หรือโวยวายอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ดิ้นทุรนทุราย เป็นที่น่าเวทนาของผู้พบเห็น จะสิ้นใจอย่างสงบเหมือนนอนหลับไป ฉะนั้น

 

11.เมื่อไม่อาจบรรลุธรรมชั้นสูง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก คือ ผู้มีเมตตาจิตเป็นประจำแม้ไม่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงขึ้นไปกว่านี้ ก็ย่อมจะไปบังเกิดในพรหมโลกอันเป็นที่เกิดของผู้ได้ฌาน

 

เพราะฉะนั้น ผู้ประสงค์เป็นที่รักเป็นที่นับถือของผู้อื่น หรือหวังความสุขความสงบความเยือกเย็นแห่งจิตใจ จึงควรได้แผ่เมตตากันดูเถิด สร้างเมตตาธรรมไว้ในใจ ดีกว่าจะมานั่งเดือดร้อนใจ ด้วยไฟโกรธ ไฟริษยาอาฆาต และดีกว่าจะมาเสียเวลา หานะเมตตามหานิยม นะหน้าทอง เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้แก่ตัวเอง เพราะวิธีปลูกต้นเมตตานี้ ไม่ทำให้หนักตัวเพราะพกพาไป ไม่ต้องกลัวหาย และไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เพราะมีติดตัวติดใจประจำอยู่ตลอดเวลา

 

คำอฐิษฐานจิตประจำวัน

 

 

บุญใด ที่ข้าพเจ้าใด้ทำในบัดนี้ เพราะบุญนั้น และการอุทิศแผ่ส่วนบุญนั้น ขอให้ข้าพเจ้า ทำให้แจ้ง โลกุตตระธรรม 9 ในทันที ข้าพเจ้า เป็นผู้อาภัพอยู่ ยังต้องท่องเที่ยวไป ในวัฏฏสงสาร

 

ขอให้ข้าพเจ้า เป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ ได้รับพยากรณ์ แต่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ถึงฐานะ แห่งความอาภัพ 18 ประการ

 

ขอให้ข้าพเจ้า พึงเว้นจากเวรทั้ง 5 พึงยินดีในการรักษาศีล ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง 5 พึงเว้นจากเปลือกตมดังกล่าว คือ กามคุณ

 

ขอให้ข้าพเจ้า ไม่พึงประกอบด้วย ทิฏฐิชั่ว พึงประกอบด้วย ทิฏฐิที่ดีงาม ไม่พึงคบมิตรชั่ว พึงคบแต่บัณฑิตทุกเมื่อ

 

ขอให้ข้าพเจ้า เป็นบ่อที่เกิดแห่งคุณ คือ ศรัทธา สติ หริ โอตัปปะ ความเพียร และขันติ พึงเป็นผู้ที่ ศัตรูครอบงำไม่ได้ ไม่เป็นคนเขลา คนหลงงมงาย

 

ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้ฉลาดในอุบาย แห่งความเสื่อม และความเจริญ เป็นผู้เฉียบแหลม ในอรรถและธรรม ขอให้ญาณของข้าพเจ้า เป็นไปไม่ข้องขัด ในธรรมะที่ควรรู้ ประดุจลมพัดไปในอากาศฉะนั้น

 

ความปรารถนาใด ๆ ของข้าพเจ้า ที่เป็นกุศล ขอให้สำเร็จ โดยง่ายทุกเมื่อ คุณที่ข้าพเจ้า กล่าวมาแล้วทั้งปวงนี้ จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติ

 

เมื่อใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงธรรมเครื่องพ้นทุกข์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เมื่อนั้น ขอให้ข้าพเจ้า พ้นจากกรรมอันชั่วช้าทั้งหลาย เป็นผู้ได้โอกาส แห่งการบรรลุธรรม

 

ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ความเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้บรรพชา อุปสมบทแล้ว เป็นคนรักศีล มีศีล ทรงไว้ซึ่งพระศาสนา ของพระบรมศาสดา

 

ขอให้เป็นผู้ มีการปฏิบัติธรรมได้ โดยสะดวก ตรัสรู้ได้พลัน กระทำให้แจ้ง ซึ่งอรหัตผลอันเลิศ อันประกอบด้วยธรรมะ มีวิชชา เป็นต้น

 

ถ้าหากพระพุทธเจ้า ไม่บังเกิดขึ้น แต่กุศลธรรม ของข้าพเจ้า เต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ญาณ เป็นเครื่องรู้เฉพาะตน อันสูงสุดเทอญฯ

 

นิพฺพาน ปจฺจโย โหตุ


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

บทความ :  dmc.tv

ภาพประกบ :  lbry.tv

แผ่เมตตาให้ตนเองและผู้อื่นทำให้หลับตื่นเป็นสุข

 

บทแผ่เมตตา

บทสวดแผ่เมตตาให้ตนเองและผู้อื่น

 

การแผ่เมตตาจักทำให้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา

บทแผ่เมตตา บทสวดแผ่เมตตาให้ตนเอง ให้ผู้อื่น ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย บทสวดแผ่ส่วนกุศล คำแผ่เมตตาแบบทั่วไป วิธีการแผ่เมตตา ปรารถนาให้เป็นที่รัก เป็นที่นับถือของผู้อื่น  ควรได้แผ่เมตตาตั้งความปรารถนาดีต่อกันดูเถิด

 

ความหมายและคุณค่าของการแผ่เมตตา

 

เมตตา หมายถึงความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น  ให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยปราศจากความอิจฉาริษยา และหมายถึงความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความจริงใจฐานมิตร 


ดังนั้น การแผ่เมตตาจึงได้แก่ การแผ่กระแสจิตของตนไปสู่ผู้อื่น ทั้งที่เป็นเทวดา มนุษย์ และสัตว์ด้วยความหวังดี ปรารถนาให้เขามีความสุข ได้รับความสมหวังในชีวิต เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจ ที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของผู้แผ่เมตตา

 

การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่โบราณบัณฑิตทั้งหลาย ปฏิบัติต่อกันมาตามลำดับ เพราะเห็นประโยชน์ว่า การแผ่เมตตานี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นนิจ มีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็นลงได้ และทำให้มองเห็นว่าการที่มนุษย์หวังดีต่อกันนั้น เป็นทางนำให้โลกเกิดสันติสุขได้ และเมื่อตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีความปรารถนาให้เพื่อนร่วมโลก ได้รับความสุขเช่นนั้นบ้าง จึงได้แผ่กระแสจิตอันเยือกเย็น และอ่อนโยนนั้นไปยังผู้อื่น 


ผู้ได้รับเมตตาจิตนั้นจะพลอยมีจิตอ่อนโยน เยือกเย็น และได้พบกับความสุขทางใจไปด้วย ด้วยเหตุแห่งการแผ่เมตตาไปยังเพื่อนมนุษย์เช่นนี้ จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ อยู่กันด้วยความมีน้ำใจ ดีต่อกัน รักใคร่กันฉันพี่น้อง และหันหน้าเข้าหากัน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้อยู่กันด้วยความอบอุ่น ไว้วางใจกัน ปราศจากความระแวงกันและกัน เป็นเหตุให้ไม่เบียดเบียนกัน และมีความเกื้อกูลกันและกัน ด้วยน้ำใสใจจริง

 

 วิธีการแผ่เมตตา

  

การแผ่เมตตานั้นควรแผ่ให้ตนเองก่อน คือต้องปรารถนาความสุขให้แก่ตนเองเสียก่อนโดยวิธีสร้างความรักตนเองในทาง ที่ถูกที่ควร คือไม่ทรมานตนเองด้วยการกระทำ ด้วยความคิดที่ผิด ๆ ทำตนเองให้มีอำนาจทางจิตด้วยความดีเสียก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายวงเมตตาออกไปยังผู้อื่น สัตว์อื่น ตามลำดับ แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ตนไม่ชอบหรือเป็นศัตรูกันก็ตาม เพราะถ้าหากสามารถแผ่เมตตาไปให้แก่ผู้ไม่ถูกกันได้ นั่นแสดงว่า ผู้นั้นได้ยกระดับจิตให้พ้นจากอำนาจ ความโกรธเคืองหรือความอิจฉา ริษยาได้แล้วด้วยเมตตา เพราะเมตตานี้เป็นเครื่องกำจัดกิเลสคือ โกธะ

 

ความโกรธ โทสะ ความประทุษร้าย อรติ ความไม่ชอบใจด้วยอำนาจของความอิจฉาริษยาเสียได้ ต่อไปตัวเองก็จะประสบความสุขความสงบทางใจ ไม่มีความเดือดร้อนใจ ไม่มีความกระวนกระวายใจอะไรต่อไปอีก เพราะปล่อยวางความโกรธความไม่พอใจเสียได้แล้ว ซึ่งผิดกับตอนที่ยังโกรธอยู่ ยังอิจฉาริษยาเขาอยู่ ในตอนนั้นจิตใจจะมีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มอก กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันกินอันนอนอย่างเห็นได้ชัด

 

เราควรแผ่เมตตาทุกวัน อย่างน้อยก็ก่อนนอนทุกคืน ถ้าสามารถทำให้มากครั้งต่อวันได้ก็ยิ่งจะเป็นกำไรชีวิต เช่น นึกแผ่เมตตาทุกอิริยาบถ ขณะเดินไปตามถนนหนทาง ขณะนั่งรถไปทำงาน ขณะเดินทางไปต่างจังหวัด หรือขณะนั่งพักผ่อน ณ ที่ใดที่หนึ่งหลังจากว่างงาน เพราะในขณะนั้นจิตใจจะปลอดโปร่งเหมาะที่จะนึกแผ่เมตตาอย่างยิ่ง และในขณะนั้นเท่ากับว่าได้ทำกรรมฐานไปในตัวด้วย 


การแผ่เมตตานี้จัดเป็นกรรมฐานประการหนึ่ง ที่จะทำให้ใจสงบเย็นลงได้ และจะคอยควบคุมจิตใจให้นึกคิดไปในทางที่ถูกที่ควรได้รวดเร็ว ฉะนั้น แม้ว่าผู้แผ่เมตตาจะทำได้เพียงวันละเล็กวันละน้อย แต่ทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้

 

คำแผ่เมตตา

ผู้ต้องการจะแผ่เมตตา ให้นึกถึงคำภาวนาต่อไปนี้แล้วนึกภาวนาไป ๆ จะกี่เที่ยวก็ตามต้องการยิ่งมากเที่ยวก็จะยิ่งทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น ทำให้จิตมีอานุภาพมีพลังมากขึ้น

 

บทแผ่เมตตา แบบที่หนึ่ง

คำแผ่เมตตาสำหรับตนเอง

 

 

อหํ สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข อเวโร อพฺยาปชฺโฌ อนีโฆ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ ฯ

 

ขอข้าพเจ้าจงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ

 

คำแผ่เมตตาไปสู่ผู้อื่น

 

สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ นิทฺทุกฺขา อเวรา อพฺยาปชฺฌา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ ฯ

 

ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ

 

บทแผ่เมตตา แบบที่สอง

คำแผ่เมตตาแบบทั่วไป

 

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

อะเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

 

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

 

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

 

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งสิ้นเถิด ฯ

 

การแผ่เมตตาทั้งสองแบบนี้ จะใช้เพียงแบบใดแบบหนึ่งตามถนัดก็ได้หรือจะนึกภาวนาเฉพาะภาษาไทยหรือภาษา บาลีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือทั้งสองอย่างก็ได้ ฯ

 

วิธีกรวดน้ำ

 

เมื่อจะกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญ นิยมทำกันดังนี้ คือ เริ่มต้นเตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะไว้พอสมควร จะเป็นคณโฑขนาดเล็ก แก้วน้ำ หรือขันก็ได้ พอพระสงฆ์เริ่มสวดอนุโมทนาบุญขึ้นต้นด้วย ยะถา.... ก็เริ่มกรวดน้ำ จบด้วย ยะถา ฯ เราต้องหลั่งน้ำให้หมดในภาชนะ  

 

การหลั่งน้ำกรวดนั้น ถ้าเป็นพื้นดินควรหลั่งลงในที่สะอาด ถ้าอยู่บนสถานที่ที่ไม่ใช่พื้นดิน ต้องหาถาดหรือขันรองน้ำกรวดไว้  เสร็จแล้วจึงนำไปเทลงดินตรงที่สะอาด อย่าใช้กระโถนหรือภาชนะสกปรก รองรับเป็นอันขาด เพราะน้ำที่กรวดเป็นสักขีพยาน ในการทำบุญของตนว่าทำด้วยใจสะอาดจริงๆ

 

คำกรวดน้ำที่นิยมว่ากันในเวลากรวด ทั่ว ๆ ไป มีอยู่หลายแบบคือ แบบสั้น แบบย่อ และแบบยาว ว่าเฉพาะคำบาลีแบบสั้น คือ

 

คำกรวดน้ำแบบสั้น

 

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ฯ

ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุข ๆ เถิดฯ

 


 พระธรรมเทศนาหลวงพ่อธมฺมชโย

dmc.tv


สรุปจากพระธรรมเทศนาเบื้องต้น ทำให้เราได้ทราบถึงผลของการแผ่เมตตาให้ทั้งตนเองและผู้อื่น มีคุณมากมาย  เพราะทำให้ผู้แผ่เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา เดินทางไปไหนใกล้ไกลปลอดภัย หลับตื่นเป็นสุข ทำให้ทุกคนดำรงตนเยี่ยงบัณฑิตนักปราชญ์  เป็นผู้มีสติตั้งมั่นไม่เผลอสติทั้งยามหลับและตื่น เมื่อถึงคราหลับตาลาโลกก็ไปอย่างผู้มีชัย

ท้ายที่สุดนี้ ทุกท่านผู้มีบุญควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท  แล้วชีวิตจะสุขนิรันดร์  รักปรารถนาให้ตนเองมีสุขพ้นทุกข์ ตลอดไปทุกภพชาติตราบกระทั่่งเข้าสู่พระนิพพานจนสุดธรรม ควรหาโอกาสนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้เป็นนิจ โดยเริ่มกันตั้งแต่วันนี้กันเลยนะคะ

เรียนเชิญผู้มีบุญทุกท่านนั่งสมาธิ บทแผ่เมตตาประจำวัน

ตามเสียงหลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย


แผ่เมตตาประจำวัน 2012



 
ขอกราบอนุโมทนาบุญมา ณ โอกาสนี้ สาธุค่ะ


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อธมฺมชโย เรื่องบทแผ่เมตตาให้ตนเองและผู้อื่น
ภาพประกอบ : dmc.tv


โลกสว่างไสวด้วย...สองมือเรา

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การได้เกิดมาเจอคำสอนของพระพุทธศาสนา มีศรัทธารักที่จะ ละชั่ว ทำความดี ทำใจใส ๆ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือ...