ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

รั้วน้ำใจ

 


คำถาม:

เพื่อนบ้านบางคนชอบเอาเปรียบ เช่น กวาดขยะมาทิ้งหน้าบ้านเราทุกวัน จะทำอย่างไรดีคะ ?

 

คำตอบ:

ที่เขากวาดขยะมาใส่บ้านเราทุกวัน เพราะเราเคยไปทำแบบนั้นกับเขาก่อนหรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่เขายังมาทำกับเรา เราก็หาถังอะไรมาวาง ตรงที่ทิ้งขยะของเขาและของเรา อย่าเพิ่งไปทำอะไร หรืออย่าเพิ่งพูดอะไรมาก เริ่มทำตัวให้เขาทั้งรักทั้งเกรงเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปพูดขอร้องกัน


ถ้าเราไปทำ จะให้เขาเกรงโดยไม่ต้องรัก เราก็เป็นอันธพาลประจำซอย เดี๋ยวก็ได้เรื่อง เขาอาจไม่กล้าเอาขยะมาทิ้งอีก แต่อย่าเลย ลูก..อย่าเป็นพาลเสียเอง เพราะมันแค่ทำให้เขาเกรงกลัว จะเป็นการเพาะศัตรูเพาะเวรภัยในภายหลัง





ทำให้เขารัก ดีกว่าทำให้เขาเกลียดกลัว การทำตัวให้น่ารัก อาจจะเสียเวลาบ้าง แต่อดทนเถอะ ทนไปสักพัก พอชนะได้ครั้งหนึ่งแล้ว จะชนะได้ตลอด แล้วจากที่ชาวบ้านเรียกเราว่า “นายนั่น นายนี่” นักเลงโตประจำซอย ก็อาจเปลี่ยนเป็น “คุณพ่อ คุณแม่” ประจำซอยไปก็ได้ ซึ่งก็เป็นด้วยความที่เรามีคุณธรรม โดยเฉพาะมีขันติ อดทนต่อความไม่เข้าท่าเข้าทางของเพื่อนบ้านได้



 

เพื่อนบ้านนั้นหากผูกมิตรไว้ดีแล้ว เขาจะเป็นเสมือนญาติสนิท ที่คอยเอื้ออาทร คอยปกป้องภัยอันตรายให้เรา รั้วน้ำใจนั้นดีกว่ารั้วเหล็กหลายเท่า เราควรทำให้บุคคลที่อยู่รอบบ้านเป็นเพื่อนของเรา อย่าให้เขาเป็น “คนอื่น” สำหรับเรา เพราะมิฉะนั้นเราก็จะเป็น “คนอื่น” สำหรับเขาเหมือนกัน


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

 หลวงพ่อตอบปัญหา




ท้ายที่สุดนี้ สังคมทุกวันนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน เราจะดีคนเดียวไม่ได้ เราต้องสร้างสังคมที่น่าอยู่ ให้เกิดขึ้นรอบบ้านเรา โดยสร้างสังคมรอบบ้านด้วยความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน เสมือนเป็นญาติพี่น้องท้องเดียวกัน โดยการรักในการเป็นผู้ให้ ให้น้ำใจ ให้สิ่งของ ให้ความเอื้ออาทร ให้แรงกาย  การให้ที่กล่าวมานี้เป็นการสร้างกำแพง ที่เข้มแข็งเป็นรั้วน้ำใจ  ให้เกิดแก่ชุมชนหรือสังคมรอบบ้านเรา ด้วยหัวใจของเราทุกคน 


เมื่อชุมชนและสังคมรอบบ้านน่าอยู่น่าเข้าน่ามอง สิ่งที่เราทุกคนจะได้รับคือความรัก ความสามัคคี ความปลอดภัย  ในการอยู่ร่วมกันในสังคม อันเกิดจากเราทุกคนได้ร่วมน้ำใจ ร่วมสร้างรั้วน้ำใจให้เป็นรั้วบ้าน ที่เข้มแข็งด้วยหัวใจของความเป็นผู้ให้ของเราทุกคนนั่นเอง    



กราบขอบพระคุณ ที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก) 

ภาพประกอบ



วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

การรู้จักตนเองตามคำสอนของ พระพุทธศาสนา

 


 




คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้วนเกี่ยวกับกายที่ยาววาหนาคืบกว้างศอกของเรานี้เอง หากเราต้องการรู้จักตัวเราเอง ต้องมาศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านทรงสอนให้เรารู้จักตนเองอย่างไร และควรทำอย่างไรต่อไป ถึงจะเป็นการรักตัวเองอย่างแท้จริง

 

การทำความรู้จักตนเองขั้นพื้นฐานนั้น มีอยู่ 4 เรื่อง

 

ธรรมชาติประจำสรีระ


1) กายมนุษย์ประกอบจากธาตุไม่บริสุทธิ์

 

กายของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุสี่ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ซึ่งธาตุสี่ที่ประกอบเป็นเซลล์ในร่างกายมนุษย์ เป็นธาตุไม่บริสุทธิ์ จึงทำให้เซลล์ในร่างกายของเราเสื่อมสลาย และตายไปสามร้อยล้านเซลล์ต่อนาทีโดยประมาณ

 

สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์ที่ตายไป คือ อาการหนาวที่เกิดขึ้นของร่างกาย และหากปล่อยให้เซลล์ตายลงไปเรื่อย ๆ เราก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ จะถึงซึ่งความตายในที่สุด

 

ดังนั้น จึงต้องหาธาตุสี่จากภายนอกมาเติม ให้ร่างกายอบอุ่น แต่ธาตุสี่ที่หามาได้จากภายนอกนั้น ก็เป็นธาตุสี่ที่ไม่บริสุทธิ์ เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่า เนื่องจากได้มาจากธาตุสี่ที่ไม่บริสุทธิ์ แม้ได้มาเพิ่มใหม่ มันก็ต้องตายต่อไป ฉะนั้นเราก็ต้องหาธาตุสี่มาเติม ให้ร่างกายต่อไปตลอดชีวิต วันใดที่ร่างกายไม่สามารถรับธาตุสี่เพิ่มได้อีกต่อไป ก็เป็นวันสิ้นสุดชีวิตนี้

 

เมื่อเติมธาตุสี่เข้าไป ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมา พร้อมกับได้พลังงานด้วย  ความร้อนก็เกิดขึ้นในร่างกาย

 

ความหนาว ความร้อน ที่มีอยู่ในตัวเรา เป็นตัวฟ้องว่า ในกายเรานี้ ทุกนาทีมีตายมีเกิดและมีเกิดมีตายอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรยืนยงคงที่เลย

 



การที่เรารู้สึกหิวก็เพราะต้องการธาตุดิน ที่รู้สึกกระหายก็เพราะต้องการธาตุน้ำมาเติม ที่รู้สึกอึดอัดเพราะต้องการหายใจเอาธาตุลมเข้าไป ที่รู้สึกหนาวก็เพราะต้องการธาตุไฟทำให้ต้องไปหาเสื้อผ้ามานุ่งห่ม

 

อาการเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหายนี้ เริ่มตั้งแต่เมื่อใด เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา อาการเหล่านี้เกิดขึ้นในครรภ์ และบอกให้รู้ว่าร่างกายของเรานั้น มีตายมีเกิดมาตั้งแต่ ก่อนเกิดจากครรภ์มารดาเสียอีก

 

อะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าธาตุสี่เหล่านี้ไม่บริสุทธิ์ ก็อุจจาระ ปัสสาวะ ที่อยู่ในตัวเรา ที่ต้องขับถ่ายออกมา เพราะมันเป็นกาก เป็นของเสีย ที่ร่างกายเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ประโยชน์ จึงบอกได้ว่าธาตุเหล่านี้ไม่บริสุทธิ์

 

2) ความทุกข์เกิดจากธาตุไม่บริสุทธิ์

 

อาการต่าง ๆ เหล่านี้ ทั้งหนาว ร้อน หิว กระหาย ขับอุจจาระออก ขับปัสสาวะออก รวมกันเรียกว่า ความทุกข์ประจำตัว หรือประจำสรีระ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น

 


ในชีวิตประจำวัน ถ้าเรามีความสำรวมกาย สำรวมวาจา ความทุกข์จำพวกนี้จะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง จากที่มีการตายของเซลล์ นาทีละสามร้อยล้านเซลล์ ก็ตายน้อยลงไปกว่านั้น ยิ่งรักษาศีลได้มากเท่าไร ยิ่งนั่งสมาธิได้มากเท่าไร อัตราการตายของเซลล์ ซึ่งมาจากธาตุที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ ก็จะยิ่งลดลง ๆ ไปอีกเรื่อย ๆ นี้คือปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา

 

ยิ่งเราสามารถควบคุมกาย ควบคุมวาจาของเรา อันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพของเราได้ ก็จะยิ่งช่วยลดความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ลงไปอีกมาก 




3) งานเลี้ยงชีพของมนุษย์คือการเติมธาตุ

 

จากต้นเหตุเพราะธาตุสี่ในกายเราที่ไม่บริสุทธิ์ ส่งผลให้เราต้องไปหาธาตุสี่จากภายนอกมาเติม เพราะว่าเราต้องหาธาตุสี่นี้เอง จึงทำให้เราต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นความจริงมนุษย์เรา ที่ต้องทำงานก็เพราะต้องการธาตุสี่นั่นเอง

 

แต่การทำงาน เราได้สิ่งตอบแทนเป็นเงินตรา จากนั้นจึงนำเงินตรามาแลกเปลี่ยน เป็นปัจจัยสี่อันได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ความซับซ้อนในการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นมีมาก แม้เราจะรับธาตุสี่เข้าไป เราก็ยังไม่รับเข้าไปตรง ๆ ต้องรับผ่านในรูปของปัจจัยสี่

 

ดังนั้น เมื่อมีใครถามว่า เราทำงานไปเพื่ออะไร ส่วนใหญ่คนจะตอบแค่ว่า ทำงานเพื่อให้ได้เงินมา หาได้ยากที่ใครจะมองลึกไปถึงว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการทำงานเพื่อธาตุสี่

 

เหตุนี้เองมนุษย์จึงทำความเดือดร้อน ให้มนุษย์ด้วยกันเองได้ง่าย เพราะมนุษย์มองตื้น ๆ เพียงว่า ไม่ว่าจะประกอบอาชีพดีหรืออาชีพชั่ว ต่างก็ได้มาซึ่งเงินตรา เพื่อเอามาใช้จ่ายในชีวิตได้เหมือนกัน

 

แต่ความจริงของชีวิตไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อทำงานก็เกิดกรรมดีกรรมชั่วขึ้นมา และทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ต่างก็ดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม นั่นคือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เมื่อมนุษย์ไม่คำนึงถึงปลายทางของกรรม ตรงนี้คือจุดอันตรายของมนุษย์ ผู้ยังไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงของชีวิต

 



กฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้นในชาตินี้ ที่เราสามารถตรองตามได้นั้นมีอยู่ เมื่อมนุษย์ทำกรรมดี ตั้งแต่ความคิด คำพูด และการกระทำก็ดี ส่งผลให้สุขภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ทุกอย่างดีหมด บุญเกิด นิสัยดี ๆ เกิด มิตรเกิด การงานก็เจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จชีวิตรุ่งเรือง

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ที่ทำกรรมชั่วนั้นตรงกันข้าม ตั้งแต่บั่นทอนทำลายสุขภาพกาย จิตใจ อารมณ์ บาปก็เกิด นิสัยเลวก็เกิด ก่อแต่ศัตรู มีอันตรายรอบด้าน การงานตกต่ำ ชีวิตถดถอย

นี้คือสิ่งที่มนุษย์ทำความผิดพลาด เพราะผิดพลาดเช่นนี้ คนชั่วจึงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์

 

4) การบรรเทาทุกข์จากธาตุไม่บริสุทธิ์

 


กฎแห่งกรรมไม่ได้จบแค่ชีวิตนี้ ยังปรุงแต่งภพชาติต่อไปว่า ตายแล้วจะไปเสวยสุขในสวรรค์ หรือรับทัณฑ์ทรมานในนรก ซึ่งเรื่องสวรรค์นรกนี้พิสูจน์ได้ด้วยการฝึกสมาธิ จนสามารถไปเห็นด้วยตนเองได้

 

แต่ในขณะที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ เพราะสมาธิยังไม่พอที่จะไปพิสูจน์ ว่าตายแล้วไม่สูญ สวรรค์มี นรกมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ข้อคิดเอาไว้ว่า ควรตั้งใจทำความดีไปก่อน ถ้าแม้ไม่มีชาติต่อไป ผู้ทำความดีมาตลอดชาตินี้ก็ประสบแต่ความสุข ถ้ามีชาติต่อไปก็ประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ซึ่งแตกต่างกับผู้ที่ทำกรรมชั่ว ถ้าแม้ไม่มีชาติต่อไป ผู้ทำกรรมชั่วก็ประสบแต่ความทุกข์ตลอดชาติอยู่แล้ว แม้มีชาติต่อไป ผู้ทำกรรมชั่วก็ประสบกับความทุกข์ทั้งในชาตินี้ และชาติต่อไปอีก ดังนั้นไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าตายแล้วสูญ บุคคลก็ควรทำแต่กรรมดี

 

ถ้าเราควบคุมสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจของเราอย่างดี และสำรวมในอาชีพของเราอย่างดี ก็จะทำให้ความทุกข์ที่ประสบลดน้อยถอยลง แม้จะยังไม่หมด เพราะเรายังทำความบริสุทธิ์ให้ตัวเองไม่ได้ก็ตาม

 

การที่เราจะสำรวมอาชีพได้อย่างไรนั้น

ขั้นแรก ต้องไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร

ขั้นที่สอง นอกจากไม่ให้เดือดร้อนใครแล้ว เรายังรักที่จะทำอาชีพนั้นด้วย

แต่ที่จะได้ขั้นที่สองดังใจนั้นไม่ง่ายนัก ยกเว้นคนที่ทำความดีมามากพอ จึงมีสิทธิ์มีทางเลือกได้มาก

 

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า เมื่อมีโอกาสทำความดีแก่คนทั้งหลายให้รีบทำไว้ให้มาก ถึงขีดถึงคราวที่บุญส่งผล จะทำให้เรามีโอกาส มีทางเลือกที่ดี ถ้าไม่อย่างนั้น โอกาสที่จะได้เลือก ในสิ่งที่เราต้องการก็มีไม่มาก ก็ได้แต่ต้องอดทนกันไป

 

ดังนั้น ตลอดชีวิตให้เลือกทำแต่ความดี ให้รีบทำแต่ความดี เพราะความจริงของชีวิตเป็นเช่นนี้ เราเผชิญกับทุกข์มาตั้งแต่เกิด จะบรรเทาทุกข์ได้ก็ด้วยการทำแต่ความดีเท่านั้น จะขจัดทุกข์ได้ต้องมาฝึกสมาธิ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

ดังนั้น โดยสรุปแล้ว คนที่รู้จักตนเอง คนที่เข้าใจชีวิต จะต้องรู้จัก 4 เรื่องนี้ และตั้งใจสร้างแต่กรรมดี ทั้งในขณะที่เติมธาตุสี่ ทั้งในขณะที่ประกอบอาชีพ หาธาตุสี่มาเติมให้ชีวิต เพราะว่าทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว คนที่ยังไม่เข้าใจ 4 เรื่องนี้ จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่รู้จักตนเองแล้ว

 

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

หลวงพ่อตอบปัญหา


ชีวิตเป็นของน้อย เราควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นขยันเติมธาตุบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตตนเอง  หมั่นบำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เติมธาตุบริสุทธิ์ให้แก่ชีวิตของเราให้เป็นนิจ ชีวิตของมนุษย์เราก็จะประสบแต่ความสุขความเจริญ ทั้งในภพชาติปัจจุบันและในสัมปรายภพ

 





ท้ายที่สุดนี้ วันที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2563 วาระวันคล้ายวันเกิด

พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ครบ 

136 ปี วัดพระธรรมกายได้จัดให้มีพิธีฉลองชัยชิตังเมสวดธัมมจักกัป

ปวัตตนสูตร ให้ได้ 2,766,000,136 จบ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และ

บูชาคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ศิษย์ดีต้องมี

ความกตัญญู

 


สวดเสร็จ กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม

เรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก และผู้มีบุญทุกท่านร่วม

พิธีโดยพร้อมเพรียงกัน การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ การสวดมนต์คือ

การสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย มีคุณอันไม่มีประมาณ อานิสงส์

ประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปสมปรารถนาทุกประการ ทั้ง

ในภพชาติปัจจุบันและในสัมปรายภพ  



กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

ศึกษาเพิ่มเติม ธาตุ 4

ลิงก์สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

ภาพประกอบ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

คิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์

หลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)


คำถาม  

 

หลวงพ่อครับ บางครั้งผิดหวังอย่างแรง นึกอยากฆ่าตัวตาย จะทำอย่างไรดีครับ ?




คำตอบ

 

คุณเอ๊ย..คนเราไม่ต้องฆ่าตัวเอง พอถึงเวลามันก็ตายอยู่แล้ว อย่าไปเสียเวลาคิดฆ่าตัวตายให้โง่อยู่เลย อย่างไรเสียมันต้องตายแน่ ๆ แต่ว่าก่อนจะตายเราควรจะศึกษา รับรู้ความจริงของชีวิตของโลกเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวความโง่จะติดตัวไปทุกชาติ


ประการแรก คนเราตายแล้วไม่สูญ ถ้าตราบใดที่กิเลสยังไม่เหมด ก็ยังต้องเกิดใหม่อีกวันยังค่ำ

 

ประการที่สอง เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า การที่คนเราต้องประสบความทุกข์ อย่างหนักหนาสาหัสขณะนี้  ไม่ใช่เพราะเทวดาฟ้าดินที่ไหนมาดลบันดาลหรือกลั่นแกล้ง แต่เกิดเพราะตัวเราเองนั่นแหละ ชาติที่แล้วเราสร้างบุญมาน้อย แถมยังสร้างบาปเอาไว้มาก ความทุกข์ความผิดหวังที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลบาปที่เราก่อไว้นั่นเอง พูดง่ายๆ ทุกข์เพราะหนี้บาป

 

เพราะฉะนั้นแทนที่จะมาคิดฆ่าตัวตาย เพื่อหนีทุกข์ สู้อยู่ผจญทุกข์เสียดีกว่า เป็นการอดทนใช้หนี้บาป ใช้ให้หมดเสียชาตินี้ จะได้ไม่ต้องลำบากในชาติหน้า แต่ถ้ารีบฆ่าตัวตายเสียตั้งแต่ชาตินี้ หนี้กรรมเก่ามันก็ยังไม่หมด มิหนำซ้ำยังจะแถมเพิ่มความโง่ เข้าไปในจิตวิญญาณอีกด้วย ชาติหน้าเลยทั้งโง่ ทั้งอายุสั้น ทั้งทุกข์ยากอีกสารพัด เลิกทำตัวเป็นคนขี้แยขี้แพ้เสียที

 



ดูซิ แม้แต่มดปลวกตัวเล็กตัวน้อย มันยังกล้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก ทนชดใช้หนี้กรรมของมัน แล้วเราเป็นคนมีสติปัญญาดีกว่ามันตั้งมากมายมหาศาล จะต้องมายอมแพ้อ่อนข้อท้อถอย รีบหนีหน้าฆ่าตัวตายไปจากโลกนี้ทำไมเล่า ทางที่ถูกควรทำอย่างนี้ซิ คือเมื่อประสบความทุกข์หนักหนาสาหัสอย่างไรก็ตาม ให้พยายามใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เต็มความสามารถ ไม่ต้องน้อยใจในโชคชะตา และหาโอกาสสร้างความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างเต็มที่ ให้บุญกุศลเหล่านี้ช่วยบรรเทาทุกข์ในชาตินี้ แล้วส่งผลให้มีความสุขมีความเจริญ มีความอิสระเต็มที่ในชาติหน้า อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ?


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา


กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

ภาพประกอบ





วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

เข้าวัดตั้งแต่อายุยังน้อย

คำถาม

 

เริ่มตัดใจเข้าวัดเมื่ออายุ 30 กว่า ย้อนนึกถึงเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว รู้สึกเสียดายยิ่งนัก มีปัญหาว่าจะทำอย่างไร ชาติหน้าจะได้เข้าวัดตั้งแต่อายุยังน้อย ?

 

คำตอบ  

 

อยากจะเข้าวัดตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ต้องปลูกฝังอุปนิสัยไว้ตั้งแต่ตอนนี้ คือต้องมีความพอใจ ในการเข้าวัดเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ผูกความพอใจไว้ให้มากเข้า ๆ พูดง่ายๆ ปฏิบัติธรรมให้มาก คือทำทานให้มาก รักษาศีลให้มาก นั่งสมาธิให้มาก หายใจเข้าออกนึกถึงแต่วัด พอทำอย่างนี้จนเคย แม้แต่จวนใกล้ตาย ใจก็เกาะอยู่กับเรื่องวัด เรื่องศาสนาจนหมดลมหายใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เวลามาเกิด ใจมันจะยังเกาะอยู่ แล้วก็จะเข้าวัดได้ตั้งแต่เด็ก ๆ

  



สมัยพุทธกาล มีหลายท่านออกบวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น พระทัพพมัลลบุตร ออกบวชตั้งแต่อายุ 7 ขวบ พอไม่นานก็เป็นพระอรหันต์ และเนื่องจากมีความรู้ความสามารถมาก มีความเชี่ยวชาญในสมาธิมาก ท่านเลยทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา ให้กับวัดพระเชตวันได้มากมาย ท่านรับอาสาทำหน้าที่เป็นคนจัดดูแล เรื่องเสนาสนะ คือกุฏิสงฆ์หรือที่อยู่ของสงฆ์ได้เรียบร้อย อย่างที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึงว่าสามเณรอายุน้อยแค่นั้นจะทำได้


 

ในสมัยพุทธกาลวัดแต่ละวัดต้องรองรับพระภิกษุ ที่เดินทางมาจากที่ต่าง ๆ จำนวนมากทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างที่วัดพระเชตะวันนั้น พระทัพพมัลลบุตรต้องจัดกุฎิสำหรับพระเป็นพัน ๆ รูปทีเดียว ต้องดูแลกันมาก เรื่องโรงครัวท่านก็ต้องดูแล ท่านรับอาสาเอง

 

ทีนี้เมื่องานมันใหญ่ วัดพระเชตวันนี่พระภิกษุเข้าออก วันหนึ่ง ๆ เป็นพัน ท่านจึงมีภาระมาก และเมื่อท่านเป็นเพียงสามเณร ในการปกครองพระจำนวนมาก ท่านก็ทำไม่ได้ เพราะพระก็เห็นว่าท่านยังเป็นเด็กเป็นสามเณร ถึงเป็นพระอรหันต์ เพศภาวะก็เป็นสามเณร มีข้อจำกัดบางอย่างในการอุปัฏฐากพระ ก็เลยเกิดข้อยกเว้นในพระพุทธศาสนาขึ้นมา เกี่ยวกับการบวชพระภิกษุ

 

ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้พระทัพพมัลลบุตร เป็นพระภิกษุแม้อายุยังไม่ครบ 20 ปี นี่เป็นกรณีพิเศษเลยนะ

 

เพราะฉะนั้นพวกเราชาตินี้ ก็ต้องตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้เต็มที่ ให้ใจผูกไว้ในพระพุทธศาสนา ส่วนลูก ๆ ก็ให้เริ่มต้นเข้าวัดกัน ตั้งแต่เริ่มรู้ความทีเดียวยิ่งดี จะได้ไม่มีเหตุให้ถูกดึงไปอยู่ที่อื่น หรือไปเสียเวลากับเรื่องอื่นๆ นะ


พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา



 

ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่เราลูกศิษย์วัดพระธรรมกายปรารถนามากที่สุด คือ  

ใน วันที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2563 เป็นวันคล้ายวันเกิดด้วยรูปกาย

เนื้อพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร

ครบ 136 ปี เรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทุกท่าน ร่วมพิธีบุญใหญ่ บำเพ็ญบุญ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา



สวดเสร็จ กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม

ร่วมสวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ให้ได้ 2,766,000,136 จบ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชาและบูชาคุณท่าน และเพื่อปลูกฝังการมีอุปนิสัย รักการเข้าวัดบำเพ็ญบุญสร้างบารมี ตั้งแต่อายุยังน้อย นับแต่ชาติปัจจุบันนี้ ณ วัดพระธรรมกาย โดยพร้อมเพรียงกัน 


ศิษย์ดีต้องมีความกตัญญู 

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี 


ด้วยอานิสงส์แห่งบุญนี้ ณ ปัจจุบันชาตินี้ จะทำให้ชีวิตของเราทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญ สมปรารถนาในสิ่งที่ดีงามทุกประการ  ตลอดไปทุกภพชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ 


ขอกราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว

ภาพประกอบ

ศึกษาเพิ่มเติม 

พระทัพพมัลลบุตรเถระเอตทัคคะในทางผู้จัดเสนาสนะ  

(https://84000.org/one/1/21.html)


 




 


 


การให้อภัย

 

พิธีสามีจิกรรมคณะสงฆ์วัดพระธรรมกาย


คำถาม    

เราสามารถฝึกการให้อภัยได้อย่างไรเจ้าคะ ?

 

หลวงพ่อตอบ

การที่คนเราจะให้อภัยคนอื่นได้ มีความจำเป็นว่า จะต้องฝึกตัว ฝึกใจ ให้มีคุณสมบัติดังนี้

 

1. ตรึกระลึกถึงคุณความดี ของเขาที่มีต่อเรา ให้ทบทวนค้นหา มองดูทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เพราะจะทำให้ใจของเราชื่นบานขึ้น

 

2. คิดถึงความผิดพลาด ที่แม้เราเองก็เคยทำกับเขา หรือกับคนอื่นมาก่อนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเขา จะทำกับเราบ้าง ก็เป็นเรื่องที่น่าอภัย เพราะต่างก็ยังไม่หมดกิเลสด้วยกันทั้งนั้น โอกาสผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้

 

3. คำนึงถึงโทษของการผูกโกรธ ว่าจะทำให้เดือดร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย อย่างน้อยก็ทำให้ใจขุ่นมัว ถึงกับยิ้มไม่ออก หรือรุ่มร้อนขัดเคืองใจ จนถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ

 

4. นึกถึงคุณของการให้อภัย โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ผู้ฆ่าความโกรธทิ้งเสียได้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์นอนหลับเป็นสุข ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ผู้ฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข”

 


เมื่อหมั่นพิจารณาทบทวนถึงเหตุผลทั้ง 4 ประการนี้เป็นประจำก็จะทำให้จิตใจของเราละเอียดอ่อน มีเมตตา สามารถให้อภัยแต่ผู้อื่นได้ง่ายๆ แต่การที่ใครก็ตามจะสามารถตรองตามเหตุผลทั้ง 4 ประการนี้ได้ มีความจำเป็นว่าจะต้องหมั่นนั่งสมาธิ  แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน ใจจึงจะกว้างขวาง มีคุณภาพดีเยี่ยม พร้อมที่จะปะทะอารมณ์บูดเน่าของผู้อื่นได้ทุกรูปแบบ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.


พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา


 

กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทตฺตชีโว

ภาพประกอบ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

จริงคำเดียวสำเร็จทุกอย่าง


 





"ของจริงต้องคู่กับคนจริง" นั้นเป็นอย่างไร? 


ทำไมบางคนเข้าวัดปฏิบัติธรรม สวดมนต์นั่งสมาธิไม่เคยขาด แต่ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย บางคนกว่าจะชวนเข้าวัดได้ก็แสนยาก แต่พอมานั่งสมาธิกลับเข้าถึงพระธรรมกายได้ง่าย ๆ


เรามาทบทวนกันก่อนว่า เราปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร 

ระดับแรกคือเพื่อฝึกให้ใจหยุดนิ่ง

ระดับที่สองคือเพื่อเข้าถึงพระธรรมกายในตัว  

ระดับที่สามคือด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกายจึงเห็นอริยสัจ 4 นั่น คือเห็นและกำจัดกิเลสได้

จากเส้นทางการปฏิบัตินี้ จึงทำให้เรามองออกว่า อริยสัจ 4 ไม่ใช่เรื่องห่างไกลจากตัวเราเลย

 




เพราะเป้าหมายชีวิตจริง ๆ ของพวกเรา คือการปฏิบัติธรรม เพื่อจะเข้าถึงธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว เข้าถึงแล้ว ไปเห็นมาแล้ว ซึ่งก็คือการตรัสรู้อริยสัจ 4



อริยสัจ 4 เป็นความประเสริฐอันแสนวิเศษ เพราะใครที่ได้รู้เรื่องความจริงนี้ แม้เพียงรู้จักจากคำบอกเล่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเริ่มค้นหาทางออก จากทุกข์ที่วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เมื่อหาทางออกเจอแล้ว ก็จะพ้นจากการเป็นบ่าว เป็นทาสของพญามารได้ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ สรุปได้ว่า

1. ชีวิตนี้เป็นทุกข์

2. ทุกข์นี้เกิดจากกิเลสที่ฝังอยู่ในใจ

3. ทุกข์ทั้งหลายแก้ได้ กำจัดได้

4. ข้อปฏิบัติในการกำจัดทุกข์กำจัดกิเลส คือ มรรคมีองค์ 8 ประการ

 

ความจริง 4 ประการนี้ต้องรีบรู้ แล้วลงมือปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ใจจึงจะหยุดจะนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่ง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 แล้ว ก็จะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว แต่การจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 แล้วเข้าถึงพระธรรมกายได้นั้น มีทางเดียวคือ ต้องมีสัจจะคือ ต้องจริง




ถ้าคุณปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้จริง คุณก็จะเข้าถึงพระธรรมกายจริง แล้วคุณก็จะได้เห็นอริยสัจ 4 จริง แล้วคุณก็จะปราบกิเลสได้จริง มันจริงเป็นชั้น ๆ เป็นขั้นตอนการฝึกตัวไปตามลำดับอย่างนี้

 

การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 นี้ จะต้องมีสัจจะทำจริงใน 5 สถาน คือ ปฏิบัติให้สมกับหน้าที่ ให้สมกับการงาน ให้สมต่อวาจา ให้สมต่อบุคคล ทุกคนที่เราต้องเกี่ยวข้อง และให้สมต่อความดี

 

ปฏิบัติจริง 5 สถาน ชื่อว่าปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จริง

1. จริงต่อหน้าที่

2. จริงต่อการงาน

3. จริงต่อบุคคล

4. จริงต่อวาจา

5. จริงต่อความดีหรือธรรมะ

 

สิ่งที่ขาดตกบกพร่องไปในการนั่งสมาธิของเรา ทำให้สมาธิไม่ก้าวหน้าก็อยู่ตรงนี้เอง ตรงที่การจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะขณะที่เรานั่งสมาธิ แต่ต้องต่อเนื่องไปจนกระทั่ง ถึงขณะปฏิบัติหน้าที่การงานอื่นๆ ด้วย

1-2. สัจจะต่อหน้าที่และการงาน

หน้าที่ คือ ภารกิจที่ต้องรับทั้งผิดทั้งชอบ โอนให้ใครไม่ได้


การงาน คือ สิ่งที่ต้องทำตามหน้าที่ ที่เรารับผิดชอบทันทีที่เกิดมา เราก็ต้องมีหน้าที่แล้ว ตั้งแต่หน้าที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ถ้าเราไม่ใช่คนโตก็ต้องเป็นน้องที่ดีของพี่เขาด้วย แล้วก็ต้องเป็นหลานที่ดีของปู่ย่า ตายาย ของลุงป้า น้าอา อีกด้วยเมื่อโตขึ้นมาอีกนิดไปโรงเรียน ก็มีหน้าที่เป็นลูกศิษย์ที่ดี ไปที่โรงเรียนมีเพื่อน ก็เลยต้องมีหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดี


เมื่อโตขึ้นมาก็มีหน้าที่เป็นประชาชนที่ดี ต่อมาแต่งงานก็มีหน้าที่เป็นสามีที่ดี เป็นภรรยาที่ดี ต่อมามีลูกก็ต้องเป็นพ่อที่ดีเป็นแม่ที่ดี ครั้นเมื่อมาบวชเป็นพระก็มีหน้าที่ตามที่พุทธองค์ทรงสั่งไว้ ต้องเป็นพระที่ดีเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ต่างก็มีหน้าที่ติดตัวมา บางอย่าง เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติ บางอย่างก็เป็น หน้าที่ที่เกิดตามความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง แต่ละหน้าที่ก็มีการงาน ที่ต้องทำตื่นเช้าขึ้นมา หน้าที่หลักของชีวิตคือเราจะต้องไปปราบกิเลสให้หมดไปให้ได้ ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เราก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติธรรมบ่มเพาะ สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ


ตั้งแต่เช้ามืด เราก็สวดมนต์ทำวัตรนั่งภาวนาไปกับคุณครูไม่ใหญ่ กลางวันก็แบ่งเวลาทุกชั่วโมงขอ 1 นาที เพื่อหยุดใจนึกถึงดวง นึกถึงองค์พระ หรือทำใจนิ่ง ๆ ว่าง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 พอตกกลางคืนถึงเวลามาศึกษาธรรมะ มาดู gbn.tv ฟังธรรมะจากพระอาจารย์ พอเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องทำภาวนาตามเทปของคุณครูไม่ใหญ่


การที่พวกเราปฏิบัติกันอย่างนี้ได้ทุกวันทุกคืน กลายเป็นสัจจะต่อหน้าที่นักสร้างบารมีที่ดีอย่างนี้ เขาเรียกว่ามีสัจจะต่อหน้าที่ มีสัจจะต่อการงาน


นอกจากนี้ เรายังมีหน้าที่จะต้องรักษากายนี้ให้ดี ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี เพราะจะต้องใช้กายนี้ไปสู้กับกิเลส มีการงานต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ บ้างเป็นผู้ผลิต บ้างทำธุรกิจ บ้างรับราชการ บ้างทำงานเอกชน ต่างก็ทำเพื่อจะได้มีปัจจัย 4 เอามาเลี้ยงตัวทั้งเรื่องกิน เรื่องใช้


ยิ่งคนมีครอบครัว ตื่นขึ้นมาแม่บ้านมีการงานที่จะต้องทำ ในการดูแลพ่อบ้าน พ่อบ้านก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำต่อแม่บ้านเช่นกัน


สัจจะต่อหน้าที่และการงาน ในเชิงปฏิบัติท่านใช้คำว่าต้อง จริงจัง จึงจะถือว่ามีสัจจะ ไม่ทำอะไรเป็นเล่น ไม่เป็นสามีภรรยากันเล่น ๆ ไม่เลี้ยงลูกแบบเล่น ๆ อย่างกับเล่นตุ๊กตา มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทำการงานอะไรแล้ว ต้องเสร็จ ต้องทันเวลา และต้องดี


3-4. สัจจะต่อบุคคลและต่อวาจา


หน้าที่การงานทั้งหมดนี้ เราต้องทำกับคนอื่น จึงต้องมีสัจจะต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย และแน่นอนว่า รวมถึงมีสัจวาจาด้วย สัจจะต่อหน้าที่ผูกพันมาถึงสัจจะต่อการงาน เช่นเดียวกับที่สัจจะต่อบุคคล ก็จะต้องมีสัจจะต่อวาจาด้วย


สัจจะต่อวาจาและสัจจะต่อบุคคล โบราณาจารย์ท่านสรุปว่า นี้เป็นลักษณะของความจริงใจ ก่อนจะพูดจาอะไรกับใคร ให้คิดแล้วคิดอีก ยิ่งถึงกับตกลงสัญญากับใครไว้แล้ว ห้ามเบี้ยว ห้ามบิด ห้ามพลิ้ว ทำงานกับใคร ก็ถนอมใจกันบ้าง เห็นใจกันบ้าง เป็นตายก็ไม่ทิ้งกัน นี้คือลักษณะของความจริงใจ ทั้งต่อบุคคล ทั้งต่อวาจาคำพูดของเรา


วันใดขาดความจริงใจ ขณะที่มานั่งปฏิบัติธรรม จึงมีอะไรคอยผุดมา

กวนเรา องค์พระทำท่าจะชัด เรื่องบางอย่างกลับโผล่ขึ้นมากวนจิตใจเมื่อจริงใจต่อวาจา ทุกคำที่พูด ต่อทุกคนที่เราคบค้าสมาคม สิ่งนั้นจะเป็นเหตุให้เรา ทำใจหยุด ทำใจนิ่ง หรือปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ครบบริบูรณ์เร็ว


5. สัจจะต่อความดี 


จริงต่อหน้าที่ จริงต่อการงาน จริงต่อบุคคล จริงต่อคำพูดแล้ว ยิ่งไปกว่านี้ยังต้องจริงแสนจริง ต่อความดีอีกด้วย


จริงต่อความดี คือ รู้ว่าอะไรดี รู้ว่าอะไรชั่ว อะไรที่ชั่วแล้วไม่ต้องรอให้ใครมาเตือน พอรู้ว่าชั่วหยุดทันที หยุดกึกหักดิบ รู้ว่าอะไรดีทุ่มชีวิตทำไป รู้ว่านิสัยอันนี้มีกับเราแล้วจะดีก็บ่มเพาะเข้าไป ธาตุทรหดดีก็เพิ่มเข้าไป รู้ว่านิสัยงอแงขี้แยน้อยใจไม่ดีก็หักดิบเลิกให้ได้ นี้คือคำว่าจริงต่อความดี


จริงต่อความดีนี้เป็นสิ่งที่เกินกว่า จะเรียกว่าจริงจัง เกินกว่าจะเรียกว่าจริงใจ เขาจึงเรียกว่าจริงแสนจริงต่อความดี เมื่อจริงแสนจริงต่อความดีอย่างนี้ ใจก็หยุดก็นิ่ง แล้วนิ่งเร็วด้วย ของจริงคู่กับคนจริง ของจริงก็คือ พระธรรมกายที่อยู่ภายในตัว เข้าถึงได้ด้วยใจหยุดใจนิ่งจริง เป็นที่พึ่งที่ระลึกได้จริง


คนจริง หมายถึง ผู้ที่มีทั้งความจริงจัง จริงใจ และจริงแสนดี สมบูรณ์อยู่ในตัวการที่เราพาเพื่อนเข้าวัด กว่าจะเอาตัวมาได้ว่ายากนัก แต่พอเขามาถึงปุ๊บ วันนั้นเขากับเราก็นั่งสมาธิพร้อม ๆ กัน ปรากฏว่า เพื่อนเข้าถึงองค์พระแล้ว ที่เป็นอย่างนั้นบอกได้เลยว่า เพื่อนของคุณคนนั้นเขาเป็น คนจริง เขาได้ฝึกสัจจะ 5 ประการนี้ผ่านหน้าที่การงาน ผ่านบุคคลผ่านคำพูด และการแก้ไขนิสัยใจคอมาตลอดชีวิตของเขา เขาทำอย่างนี้มานาน เขาเลยเป็นคนที่ใจนิ่งได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น


บุคคลประเภทนี้ เป็นบุคคลประเภทนิ่งจริง ไม่ว่าอะไรที่มาถึงเขา เขาทำดีเยี่ยมเลย เกิดอุปสรรคอะไรขึ้นมา ไม่เคยโวยวายสักคำ นิ่งหาช่องทางแก้ไขอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จในชีวิตมาตามลำดับ ๆ


บุคคลประเภทนี้ มาถึงวัดเมื่อใด นั่งเดี๋ยวเดียวเขาก็ใจหยุดใจนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ส่วนใครที่ยังไม่ได้ฝึกตัวทั้ง 5 ประการนี้มาดี พอ เข้าวัดมาแล้ว ก็ต้องใช้เวลาฝึกก่อน ถึงจะมีโอกาสเข้าถึงธรรม แต่ถ้าวัดก็ไม่เข้า ฝึกก็ไม่ฝึก แบบนี้คงต้องใช้เวลาอีกมาก กว่าจะเข้าถึงธรรม



ดังนั้น การปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ในการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว กลับเหลือเพียงการฝึกสัจจะ 5 สถาน โดยมีวิธีวัดง่าย ๆ ว่า สัจจะ 5 ประการของเราสมบูรณ์ดีไหม ถ้าสัจจะทั้ง 5 ประการของเรานี้สมบูรณ์ เราต้องสว่าง ถ้ายังมืดอยู่ ก็แสดงว่าทั้ง 5 ประการนี้ยังไม่ครบ เมื่อ 5 ประการนี้ไม่ครบ มรรคมีองค์ 8 ก็ไม่ครบ ก็ให้ไปทบทวนสัจจะ 5 สถานของตัวเองให้ดี ว่าหน้าที่การงานทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ความจริงใจที่มีต่อทุกคน เคยพูดเคยจาอะไรกันไว้อย่างไร ก็ไปทบทวนดูว่า เราขาดตกบกพร่องอะไรบ้าง 




ประการสุดท้าย ตรวจสอบนิสัยตัวเองว่า ความไม่เข้าท่าทั้งหลาย ที่เราเคยแก้ไขไปแล้ว ก็อย่าให้มันย้อนกลับมาอีก สำรวจตรวจสอบสัจจะทั้ง 5 ประการของตัวเองได้ละเอียดเท่าไร ก็จะกลายเป็นพรที่ให้แก่ตัวเอง “ให้เราได้เป็นคนจริง เพื่อจะได้พบของจริง” ขอให้ทุกท่านทุกคนสามารถแก้ไขปรับปรุงสัจจะทั้ง 5 สถานนี้ได้ แล้วเข้าถึงพระธรรมกายเป็นอัศจรรย์เทอญ


พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทตฺตชีโว

หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา



ท้ายที่สุดนี้ ชีวิตของเราทุกคนจะประสบความสำเร็จ ทั้งทางโลกและทางธรรมตราบจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมได้นั้น สัจจะคำเดียวจริง ๆ ที่จะทำให้เราทุกคน ที่เกิดมาบนโลกใบนี้สมปรารถนาพ้นทุกข์ เข้าถึงบรมสุข สิ่งที่จะทำให้เราทุกคนเข้าถึงบรมสุขได้นั้น คือการเป็นคนจริง  มีสัจจะที่จะแก้ไขตนเอง 




ด้วยการตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตนให้ได้ เพื่อเป็นอุปนิสัยข้ามภพชาติของเรานี้  จะทำให้เราย่นระยะทางการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอันยาวไกล   สามารถกำจัดกิเลสในตนให้หมดไป   และเข้าสู่อายตนนิพพานได้ในเร็วพลัน 

ดังพุทธศาสนสุภาษิต ความว่า


สจฺจํ  หเว  สาธุตรํ  รสานํ

ความสัตย์นั่นแล  ดีกว่ารสทั้งหลาย


ที่มา : สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (สํ. ส. ๑๕/๕๘)



กราบขอบพระคุณกราบอนุโมทนาบุญที่มาของความสมบูรณ์ของบลอค :

พระธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อทตฺตชีโว

ลิงก์นำนั่งสมาธิ

ภาพประกอบ


โลกสว่างไสวด้วย...สองมือเรา

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การได้เกิดมาเจอคำสอนของพระพุทธศาสนา มีศรัทธารักที่จะ ละชั่ว ทำความดี ทำใจใส ๆ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือ...