คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้วนเกี่ยวกับกายที่ยาววาหนาคืบกว้างศอกของเรานี้เอง
หากเราต้องการรู้จักตัวเราเอง ต้องมาศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าท่านทรงสอนให้เรารู้จักตนเองอย่างไร
และควรทำอย่างไรต่อไป ถึงจะเป็นการรักตัวเองอย่างแท้จริง
การทำความรู้จักตนเองขั้นพื้นฐานนั้น มีอยู่
4 เรื่อง
1) กายมนุษย์ประกอบจากธาตุไม่บริสุทธิ์
กายของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุสี่ ได้แก่
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ซึ่งธาตุสี่ที่ประกอบเป็นเซลล์ในร่างกายมนุษย์ เป็นธาตุไม่บริสุทธิ์
จึงทำให้เซลล์ในร่างกายของเราเสื่อมสลาย และตายไปสามร้อยล้านเซลล์ต่อนาทีโดยประมาณ
สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์ที่ตายไป
คือ อาการหนาวที่เกิดขึ้นของร่างกาย และหากปล่อยให้เซลล์ตายลงไปเรื่อย ๆ
เราก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ จะถึงซึ่งความตายในที่สุด
ดังนั้น จึงต้องหาธาตุสี่จากภายนอกมาเติม ให้ร่างกายอบอุ่น
แต่ธาตุสี่ที่หามาได้จากภายนอกนั้น ก็เป็นธาตุสี่ที่ไม่บริสุทธิ์
เซลล์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่า เนื่องจากได้มาจากธาตุสี่ที่ไม่บริสุทธิ์
แม้ได้มาเพิ่มใหม่ มันก็ต้องตายต่อไป ฉะนั้นเราก็ต้องหาธาตุสี่มาเติม ให้ร่างกายต่อไปตลอดชีวิต
วันใดที่ร่างกายไม่สามารถรับธาตุสี่เพิ่มได้อีกต่อไป ก็เป็นวันสิ้นสุดชีวิตนี้
เมื่อเติมธาตุสี่เข้าไป
ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมา พร้อมกับได้พลังงานด้วย ความร้อนก็เกิดขึ้นในร่างกาย
ความหนาว ความร้อน ที่มีอยู่ในตัวเรา
เป็นตัวฟ้องว่า ในกายเรานี้ ทุกนาทีมีตายมีเกิดและมีเกิดมีตายอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีอะไรยืนยงคงที่เลย
การที่เรารู้สึกหิวก็เพราะต้องการธาตุดิน
ที่รู้สึกกระหายก็เพราะต้องการธาตุน้ำมาเติม ที่รู้สึกอึดอัดเพราะต้องการหายใจเอาธาตุลมเข้าไป
ที่รู้สึกหนาวก็เพราะต้องการธาตุไฟทำให้ต้องไปหาเสื้อผ้ามานุ่งห่ม
อาการเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหิว
เดี๋ยวกระหายนี้ เริ่มตั้งแต่เมื่อใด เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา
อาการเหล่านี้เกิดขึ้นในครรภ์ และบอกให้รู้ว่าร่างกายของเรานั้น มีตายมีเกิดมาตั้งแต่
ก่อนเกิดจากครรภ์มารดาเสียอีก
อะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าธาตุสี่เหล่านี้ไม่บริสุทธิ์
ก็อุจจาระ ปัสสาวะ ที่อยู่ในตัวเรา ที่ต้องขับถ่ายออกมา เพราะมันเป็นกาก
เป็นของเสีย ที่ร่างกายเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ประโยชน์
จึงบอกได้ว่าธาตุเหล่านี้ไม่บริสุทธิ์
2) ความทุกข์เกิดจากธาตุไม่บริสุทธิ์
อาการต่าง ๆ เหล่านี้ ทั้งหนาว ร้อน หิว
กระหาย ขับอุจจาระออก ขับปัสสาวะออก รวมกันเรียกว่า ความทุกข์ประจำตัว หรือประจำสรีระ
ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น
ในชีวิตประจำวัน ถ้าเรามีความสำรวมกาย
สำรวมวาจา ความทุกข์จำพวกนี้จะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง จากที่มีการตายของเซลล์ นาทีละสามร้อยล้านเซลล์
ก็ตายน้อยลงไปกว่านั้น ยิ่งรักษาศีลได้มากเท่าไร ยิ่งนั่งสมาธิได้มากเท่าไร
อัตราการตายของเซลล์ ซึ่งมาจากธาตุที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ ก็จะยิ่งลดลง ๆ
ไปอีกเรื่อย ๆ นี้คือปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา
ยิ่งเราสามารถควบคุมกาย ควบคุมวาจาของเรา อันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพของเราได้ ก็จะยิ่งช่วยลดความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ลงไปอีกมาก
3) งานเลี้ยงชีพของมนุษย์คือการเติมธาตุ
จากต้นเหตุเพราะธาตุสี่ในกายเราที่ไม่บริสุทธิ์
ส่งผลให้เราต้องไปหาธาตุสี่จากภายนอกมาเติม เพราะว่าเราต้องหาธาตุสี่นี้เอง
จึงทำให้เราต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นความจริงมนุษย์เรา ที่ต้องทำงานก็เพราะต้องการธาตุสี่นั่นเอง
แต่การทำงาน เราได้สิ่งตอบแทนเป็นเงินตรา
จากนั้นจึงนำเงินตรามาแลกเปลี่ยน เป็นปัจจัยสี่อันได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาหาร
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ความซับซ้อนในการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นมีมาก
แม้เราจะรับธาตุสี่เข้าไป เราก็ยังไม่รับเข้าไปตรง ๆ ต้องรับผ่านในรูปของปัจจัยสี่
ดังนั้น เมื่อมีใครถามว่า
เราทำงานไปเพื่ออะไร ส่วนใหญ่คนจะตอบแค่ว่า ทำงานเพื่อให้ได้เงินมา
หาได้ยากที่ใครจะมองลึกไปถึงว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการทำงานเพื่อธาตุสี่
เหตุนี้เองมนุษย์จึงทำความเดือดร้อน ให้มนุษย์ด้วยกันเองได้ง่าย
เพราะมนุษย์มองตื้น ๆ เพียงว่า ไม่ว่าจะประกอบอาชีพดีหรืออาชีพชั่ว
ต่างก็ได้มาซึ่งเงินตรา เพื่อเอามาใช้จ่ายในชีวิตได้เหมือนกัน
แต่ความจริงของชีวิตไม่ได้หยุดแค่นั้น
เมื่อทำงานก็เกิดกรรมดีกรรมชั่วขึ้นมา และทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ต่างก็ดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม
นั่นคือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เมื่อมนุษย์ไม่คำนึงถึงปลายทางของกรรม
ตรงนี้คือจุดอันตรายของมนุษย์ ผู้ยังไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงของชีวิต
กฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้นในชาตินี้
ที่เราสามารถตรองตามได้นั้นมีอยู่ เมื่อมนุษย์ทำกรรมดี ตั้งแต่ความคิด คำพูด
และการกระทำก็ดี ส่งผลให้สุขภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ทุกอย่างดีหมด บุญเกิด นิสัยดี
ๆ เกิด มิตรเกิด การงานก็เจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จชีวิตรุ่งเรือง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ที่ทำกรรมชั่วนั้นตรงกันข้าม ตั้งแต่บั่นทอนทำลายสุขภาพกาย จิตใจ อารมณ์ บาปก็เกิด นิสัยเลวก็เกิด ก่อแต่ศัตรู มีอันตรายรอบด้าน การงานตกต่ำ ชีวิตถดถอย
นี้คือสิ่งที่มนุษย์ทำความผิดพลาด
เพราะผิดพลาดเช่นนี้ คนชั่วจึงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์
4) การบรรเทาทุกข์จากธาตุไม่บริสุทธิ์
กฎแห่งกรรมไม่ได้จบแค่ชีวิตนี้
ยังปรุงแต่งภพชาติต่อไปว่า ตายแล้วจะไปเสวยสุขในสวรรค์ หรือรับทัณฑ์ทรมานในนรก ซึ่งเรื่องสวรรค์นรกนี้พิสูจน์ได้ด้วยการฝึกสมาธิ
จนสามารถไปเห็นด้วยตนเองได้
แต่ในขณะที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้
เพราะสมาธิยังไม่พอที่จะไปพิสูจน์ ว่าตายแล้วไม่สูญ สวรรค์มี นรกมี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ข้อคิดเอาไว้ว่า ควรตั้งใจทำความดีไปก่อน ถ้าแม้ไม่มีชาติต่อไป
ผู้ทำความดีมาตลอดชาตินี้ก็ประสบแต่ความสุข ถ้ามีชาติต่อไปก็ประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า
ซึ่งแตกต่างกับผู้ที่ทำกรรมชั่ว ถ้าแม้ไม่มีชาติต่อไป
ผู้ทำกรรมชั่วก็ประสบแต่ความทุกข์ตลอดชาติอยู่แล้ว แม้มีชาติต่อไป
ผู้ทำกรรมชั่วก็ประสบกับความทุกข์ทั้งในชาตินี้ และชาติต่อไปอีก
ดังนั้นไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าตายแล้วสูญ บุคคลก็ควรทำแต่กรรมดี
ถ้าเราควบคุมสำรวมกาย สำรวมวาจา
สำรวมใจของเราอย่างดี และสำรวมในอาชีพของเราอย่างดี
ก็จะทำให้ความทุกข์ที่ประสบลดน้อยถอยลง แม้จะยังไม่หมด เพราะเรายังทำความบริสุทธิ์ให้ตัวเองไม่ได้ก็ตาม
การที่เราจะสำรวมอาชีพได้อย่างไรนั้น
ขั้นแรก ต้องไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร
ขั้นที่สอง นอกจากไม่ให้เดือดร้อนใครแล้ว
เรายังรักที่จะทำอาชีพนั้นด้วย
แต่ที่จะได้ขั้นที่สองดังใจนั้นไม่ง่ายนัก
ยกเว้นคนที่ทำความดีมามากพอ จึงมีสิทธิ์มีทางเลือกได้มาก
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า
เมื่อมีโอกาสทำความดีแก่คนทั้งหลายให้รีบทำไว้ให้มาก ถึงขีดถึงคราวที่บุญส่งผล
จะทำให้เรามีโอกาส มีทางเลือกที่ดี ถ้าไม่อย่างนั้น โอกาสที่จะได้เลือก ในสิ่งที่เราต้องการก็มีไม่มาก
ก็ได้แต่ต้องอดทนกันไป
ดังนั้น ตลอดชีวิตให้เลือกทำแต่ความดี
ให้รีบทำแต่ความดี เพราะความจริงของชีวิตเป็นเช่นนี้
เราเผชิญกับทุกข์มาตั้งแต่เกิด จะบรรเทาทุกข์ได้ก็ด้วยการทำแต่ความดีเท่านั้น
จะขจัดทุกข์ได้ต้องมาฝึกสมาธิ ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว คนที่รู้จักตนเอง
คนที่เข้าใจชีวิต จะต้องรู้จัก 4 เรื่องนี้ และตั้งใจสร้างแต่กรรมดี
ทั้งในขณะที่เติมธาตุสี่ ทั้งในขณะที่ประกอบอาชีพ หาธาตุสี่มาเติมให้ชีวิต
เพราะว่าทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว คนที่ยังไม่เข้าใจ 4 เรื่องนี้
จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่รู้จักตนเองแล้ว
ชีวิตเป็นของน้อย เราควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
หมั่นขยันเติมธาตุบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตตนเอง หมั่นบำเพ็ญบุญ
ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เติมธาตุบริสุทธิ์ให้แก่ชีวิตของเราให้เป็นนิจ ชีวิตของมนุษย์เราก็จะประสบแต่ความสุขความเจริญ
ทั้งในภพชาติปัจจุบันและในสัมปรายภพ
ท้ายที่สุดนี้ วันที่ 10 ตุลาคม พุทธศักราช 2563 วาระวันคล้ายวันเกิด
พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ครบ
136 ปี วัดพระธรรมกายได้จัดให้มีพิธีฉลองชัยชิตังเมสวดธัมมจักกัป
ปวัตตนสูตร ให้ได้ 2,766,000,136 จบ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และ
บูชาคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ศิษย์ดีต้องมี
ความกตัญญู
เรียนเชิญลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก และผู้มีบุญทุกท่านร่วม
พิธีโดยพร้อมเพรียงกัน การสั่งสมบุญนำสุขมาให้ การสวดมนต์คือ
การสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย มีคุณอันไม่มีประมาณ อานิสงส์
ประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปสมปรารถนาทุกประการ ทั้ง
ในภพชาติปัจจุบันและในสัมปรายภพ
กราบขอบพระคุณที่มาแห่งความสมบูรณ์ของบลอค :
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อทตฺตชีโว (คุณครูไม่เล็ก)
น้อมกราบสาธุ สาธุ สาธุครับ
ตอบลบกราบอนุโมทนาบุญในธรรมทานในวันนี้ด้วยค่ะ
ตอบลบ⭐️🌷🙏กราบสาธุ สาธุ สาธุค่ะ 🙏🌷⭐️
อนุโมทนาบุญกับบทความดีๆที่ให้ข้อคิดแบบนี้ครับ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ